30 ตุลาคม 2560

ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนช่วยลดหย่อนภาษีดีกว่า


หลายคนคงกำลังสงสัยว่าระหว่างการทำประกันชีวิตกับซื้อ LTF ควรจะเลือกซื้ออะไรดีเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้ 

ประกันชีวิต

ในการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตนั้น เงินค่าเบี้ยของประกันชีวิตที่คุณจะนำมา ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะ มี 2 แบบ แบบแรกคือค่าเบี้ยประกันชีวิต และแบบที่สองคือค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สำหรับค่าเบี้ยประกันอื่น ๆ เช่น ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุนั้น ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งประกันชีวิตที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีทั้ง 2 แบบมีเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
ค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าประกันชีวิตต้องมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และเงินคืนต้องไม่เกินกว่าร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันที่จ่ายรายปี 
ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถหักลดหย่อนได้ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเท่านั้น และมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป  โดยผลประโยชน์ของเงินบำนาญจะจ่ายคืนเมื่อผู้มีเงินได้อายุ 55 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เงินค่าเบี้ยประกันบำนาญเมื่อนำไปรวมกับเงินสำรองเลี้ยงชีพ เงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน เงินลงทุนใน RMF และเงินออมในกองทุนการออมแห่งชาติแล้ว จะสามารถนำมาลดหย่อนไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ

LTF หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว

สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามจริง แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับที่จะต้องเสียภาษีในปีนั้น และต้องไม่เกิน 500,000 บาท และผู้มีเงินได้ต้องถือครองการลงทุน LTF ไว้นาน 7 ปีจึงจะขายได้ หากขายก่อนก็ไม่สามารถนำเงินมาหักลดหย่อนภาษีได้ค่ะ

หากจะลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนดีกว่า?

การซื้อประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์หลักคือเรื่องคุ้มครองความเสี่ยงและอาจมีแถมเรื่องของการสะสมทรัพย์เข้ามาด้วย ในขณะที่การซื้อ LTF นั้นมีวัตถุประสงค์หลักในเรื่องของการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว ก่อนอื่นคุณคงต้องมาดูว่าก่อนว่ารวัตถุประสงค์ในการลงทุนของคุณเป็นแบบไหน
ความเสี่ยงจากความผันผวน LTF เหมาะกับคนที่สามารถรับความผันผวนจากผลตอบแทนได้ เพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้นหากคุณเลือกซื้อ LTF จะต้องยอมรับว่าเงินต้นคุณมีสิทธิ์หายไปได้ ส่วนประกันชีวิตเหมาะกับคนที่ต้องการซื้อความคุ้มครองชีวิตหรือถ้าเป็นประกันแบบสะสมทรัพย์ ก็เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ไม่ชอบความผันผวน ไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่มากนัก และไม่ต้องการให้เงินต้นหายด้วย สามารถรอเวลาได้นานถึง 10 ปีขึ้นไป และไม่รีบใช้เงินครับ
สภาพคล่อง ถ้าหากคุณเลือกลดหย่อนด้วยการซื้อประกันชีวิต คุณต้องรอนานถึง 10 ปีขึ้นไป ถึงจะได้เงินทุนคืน แต่กรมธรรม์บางตัวก็มีเงินคืนระหว่างทาง เป็นกระแสเงินสดที่คุณนำมาใช้ได้ ส่วน LTF ระยะเวลาสั้นกว่า 7 ปีปฏิทินก็สามารถขายหน่วยลงทุนได้ ถ้าหากคุณเลือกซื้อ LTF ที่มีการจ่ายเงินปันผลด้วย ก็จะได้เงินปันผลในระหว่างทางมาใช้
ผลตอบแทน หากคุณซื้อประกันชีวิตคุณอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่มากนัก แต่สิ่งที่ได้ก็คือความคุ้มครองและการลดหย่อนภาษีที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุ้ม ส่วนถ้าคุณเลือก LTF นั้น คุณจะมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงมากกว่าประกันชีวิต แต่ในทางกลับกัน การซื้อ LTF ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน ส่วนประกันชีวิตนั้นถ้าไม่เวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบสัญญา อย่างไรก็ไม่ขาดทุนแน่นอน
พอร์ตการลงทุนของคุณ ก่อนที่คุณจะเลือกลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิตหรือ LTF คุณควรต้องหันมาดูพอร์ตการลงทุนของคุณด้วยว่า ในตอนนี้คุณมีประกันชีวิตอยู่เท่าไหร่แล้ว และมีการลงทุนใน LTF เท่าไหร่แล้ว จึงค่อยตัดสินใจว่าคุณจะซื้ออะไรดีในปีนี้ ถ้าคนที่ไม่เคยทำประกันชีวิตมาก่อนเลย ก็น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้ตัดสินใจทำประกันชีวิตไปพร้อมกับการได้ลดหย่อนภาษีด้วย เช่นเดียวกับคนที่ไม่เคยลงทุนใน LTF หรือในตลาดหุ้นเลย ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่ได้เริ่มต้นลงทุนด้วย LTF เพราะ LTF นั้นมีผู้จัดการกองทุนที่ช่วยบริหารพอร์ตลงทุนให้คุณด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลเกี่ยวกับ ประกันชีวิตและการลงทุนใน LTF คุณผู้อ่านสามารถตัดสินใจเลือกกันได้หรือยังว่าจะลดหย่อนภาษีแบบไหนดี อย่างไรก็ตาม คุณก็สามารถแบ่งเงินซื้อทั้ง 2อย่างเฉลี่ยกันไปได้ เพราะมันก็เป็นการกระจายความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง แถมยังลดหย่อนภาษีได้เหมือนเดิมด้วยครับ

6 กันยายน 2560

หากคุณคือคน Gen Y




หากคุณคือคน Gen Y 

อยากทำงานที่มีรายได้แบบสมดุล มีเวลาเป็นของตัวเอง
 ใช้เทคโนโลยี work smart any time ane where 

1. องค์กรต้องมีความมั่นคงและวิสัยทัศน์ไช่ไหม
2. ต้องการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
3. ต้องการหัวหน้างานมีสไตล์เป็นผู้นำ เป็นพี่เลี้ยง เข้มแข็งและแนะนำงานได้
4. ให้โอกาสในการแสดงความคิดเห็น
5. ให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ เช่น มีความเป็นพี่น้องมากกว่าการเป็นเจ้านายลูกน้อง
6. ให้การยอมรับทั้งในเรื่องความคิดเห็น  ตัวบุคคลและวิธีการทำงาน
7. สร้างแรงจูงใจจากผลตอบแทนที่ยุติธรรม
8. ไม่เข้มงวดจนเกินไป ให้อิสระทางความคิดและการทำงานภายใต้กรอบที่เหมาะสม
9. แสดงออกถึงความตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม
10. ไม่ปล่อยให้แก้ปัญหาเองโดยลำพัง  ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด  นี่คือตัวเลือก 1 ใน 9 อาชีพแห่งอนาคต


ขอแนะนำอาชีพใหม่ 
อาชีพที่ปรึกษาการเงิน ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและวางแผนทางการเงิน 
แบบองค์รวม เพียงคุณ
1. อายุ 22-40 ปี วุฒิ ปริญญาตรี ทุกสาขา รักการเรียนรู้ บุคลิกดี
สู้งาน ต้องการความก้าวหน้า
2. ต้องสอบใบอนุญาตตัวแทน ใบอนุญาตวินาศภัย และใบอนุญาต IC License 
จาก กลต. สามารถทำการสอบเรียงตามลำดับ
3. ศึกษางานขายแบบพื้นฐานของตัวแทน Tradditional Product, 
starter couse , กองทุนรวม Fund, Unitlink Product
4. เข้ารับการสนับสนุนให้ทำการตลาด online ด้วยการทำ website 
และติดตั้งระบบการตลาดแบบดึงดูด Attraction Marketing
5. ใช้เครื่องมือโปรแกรม Wealthplus เพื่อให้คำปรึกษาและวางแผนทางการเงิน 
แบบครบวงจร
6. สนับสนุนเพื่อพัฒนาตนเอง ด้วยการเข้าเรียนหลักสูตร นานาชาติ FChFP และ CFP


https://form.jotform.me/62262198232454

31 กรกฎาคม 2560

มาประเมิณว่า เรารอบรู้เรื่องการเงินและมีการวางแผนการเงินไว้แค่ไหน ?


รอบรูุ้และวางแผนการเงิน 



ถ้าพอจะทราบคร่าว ๆ ว่ามีทรัพย์สินและหนี้สินอยู่เท่าไหร่ เพราะได้ทำบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอย่างสม่ำเสมอ

คุณเป็นคนที่เยี่ยมมาก สิ่งนี้สะท้อนว่าคุณมีการจัดการด้านการเงินอย่างเป็นระบบ และมีข้อมูลเพียงพอ
สำหรับการวางแผนและการตัดสินใจทางการเงิน
การจัดทำรายการทรัพย์สิน-หนี้สิน และปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะป้องกัน
การหลงลืมแล้ว ยังทำให้คุณทราบฐานะทางการเงินที่แท้จริงของตนเอง และใช้ประกอบการวางแผนและ
ตัดสินใจด้านการเงินด้วย

ใช่เลย ได้เงินมาเมื่อไหร่ ฉันก็ออมเมื่อนั้น
คุณเป็นคนที่เยี่ยมมาก เพราะเมื่อมีรายได้เข้ามา คุณควรกันเงินส่วนที่ต้องการออมไว้ก่อนเป็นอันดับแรก 
ส่วนที่เหลือจึงค่อยนำไปใช้จ่าย เมื่อทำเช่นนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ คุณก็จะมีเงินออมก้อนโตได้ภายในเวลาไม่นาน
โดยทั่วไปคนจะนำเงินไปใช้จ่ายจนหมด ทำให้ไม่เหลือเงินไว้เก็บออม การออมก่อนจ่ายจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ดังนั้น
 คุณควรตั้งเป้าหมายการออมไว้และเมื่อมีรายได้เข้ามา ให้คุณกันเงินส่วนที่ต้องการออมไว้ก่อนเลย ที่เหลือจึงค่อยนำไปใช้จ่าย
 วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถเก็บออมได้อย่างสม่ำเสมอ
ทุกความฝันสามารถเป็นจริงได้ด้วยการลงมือทำ เพียงแค่คุณตั้งเป้าหมายในการออมโดยเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินน้อย ๆ ก่อนก็ได้
 เช่น ออมวันละ 10-20 บาท และกันเงินส่วนที่ต้องการออมไว้ก่อน เงินส่วนที่เหลือจึงค่อยนำไปใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็น
 รู้ไหมว่าเมื่อครบปีคุณก็จะมีเงินออมหลายพันบาทแล้วนะ

ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายในแต่ละเรื่องไว้ และพยายามใช้จ่ายให้ไม่เกินงบประมาณนั้น

ดีเยี่ยม การตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้า และการรักษาวินัยทางการเงิน โดยใช้จ่ายตามงบประมาณที่ตั้งไว้ จะช่วยให้คุณ
ควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี  แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ขอให้ท่องไว้ให้ขึ้นใจ “ไม่ว่าราคาจะถูกแค่ไหน ถ้าไม่ใช้ ก็ไม่ควรซื้อ”

คิดถึงความจำเป็น ประโยชน์ใช้สอย คุณภาพ และราคาก่อนซื้อทุกครั้ง
เยี่ยมมาก คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี และยังได้ใช้ของที่มีคุณภาพในราคาประหยัดอีกด้วย
ก่อนซื้อของคุณควรใช้เวลาพิจารณานานขึ้นอีกสักหน่อย โดยอาจเดินไปที่อื่นก่อนก็ได้ แล้วลองถามตัวเองอีกสักรอบว่า
จำเป็นต้องซื้อของนั้นหรือไม่ ถ้าจำเป็นจึงค่อยเดินกลับมาซื้อก็ยังทัน
น่าเสียดายเงินที่ถูกใช้จ่ายโดยไม่ได้ประโยชน์ หากคุณควบคุมตนเองที่จะไม่ซื้อของไม่ได้ 
คุณอาจต้องใช้วิธีลดการไปห้างสรรพสินค้าโดยไม่มีเป้าหมาย ใช้จ่ายด้วยเงินสดแทนบัตรเครดิต
 หรือใช้เวลาให้มากขึ้นในการซื้อของแต่ละชิ้น เพื่อทบทวนอีกครั้งว่าคุณมีความจำเป็นต้องซื้อของชิ้นนี้หรือไม่ 
หากจำเป็นต้องซื้อ ก็ลองเดินดูจากหลาย ๆ ร้าน เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพ ราคา และข้อเสนออื่น ๆ ก่อนที่จะจ่ายเงินออกไป

การเก็บออมไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เป็นจำนวนมาก ทำให้คุณเสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น 
ถ้ามีเงินออมแบบนี้มาก ๆ คุณควรแบ่งเงินบางส่วนไปไว้ในทางเลือกอื่น ๆ บ้าง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีสูงขึ้นภายใต้
ความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เช่น เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ เงินฝากประจำ กองทุนรวม ทั้งนี้ สิ่งที่คุณควรตระหนักไว้ก็คือ 
เงินจำนวนนี้อาจมีสภาพคล่องที่ต่ำลง และมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น ดังนั้น คุณจึงควรศึกษาและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ
ก่อนตัดสินใจลงทุน

การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยเกษียณเพื่อลดความกังวลทางการเงิน ต้องอาศัยการวางแผน และดำเนินตามแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ 

คุณควรเริ่มออมเงินเพื่อการเกษียณ และศึกษาเกี่ยวกับการทำประกันให้ครอบคลุมกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นไว้เสียตั้งแต่

วันนี้เลย 







19 กรกฎาคม 2560

รู้ไหมว่าสลากออมสินเหมาะสมกับใคร?



บางคนเวลาที่จะเริ่มลงทุน ก็มักจะซื้อสลากออมสินเป็นอันดับแรก หรือบางคนเวลาจะให้ของขวัญแก่บุตรหลาน ก็มักจะนึกถึงสลากออมสินเสมอ หรือผู้สูงอายุบางคนเมื่อเกษียณแล้ว ก็จะลงทุนแต่สลากออมสินเท่านั้น จึงมีข้อสงสัยกันว่า ทำไมคนถึงชอบซื้อสลากออมสินกัน แล้วสลากออมสินนั้นจริงๆ แล้วมันเหมาะสมกับใคร

ก่อนที่จะรู้ว่าสลากออมสินนั้นเหมาะสมกับใคร เราควรรู้รูปแบบการลงทุนและผลตอบแทนก่อน สลากออมสินเป็นสลากที่ขายโดยธนาคารออมสิน โดยสลากก็ถือเป็นตราสารหนี้อย่างหนึ่ง การซื้อสลากออมสินนั้นไม่ได้เป็นการฝากเงินไว้กับธนาคารแต่เป็นการซื้อเพื่อลงทุนและแถมยังได้ชิงโชครางวัลอีกด้วย ดังนั้น สลากออมสินจึงไม่ได้อยู่ในกฏเกณฑ์ของการคุ้มครองเงินฝาก แต่ธนาคารออมสินหรือรัฐบาลจะเป็นผู้รับประกันเองว่าผู้ลงทุนก็จะได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยแน่ๆ ดังนั้นการลงทุนในสลากออมสินจึงเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยมาก เรียกว่าปลอดภัย เงินต้นไม่สูญ ได้รับดอกเบี้ย และเผลอๆ ยังได้ลุ้นรางวัลอีก

เมื่อเรามาคำนวณผลตอบแทนของสลากออมสินกันว่าจริงๆ แล้วถ้าเราซื้อสลากออมสินไว้นั้นเราจะได้ผลตอบแทนเท่าไรกันแน่ ปกติสลากออมสินนั้นมีหลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมก็คือ สลากออมสินพิเศษอายุ 3 ปี สลากออมสินพิเศษอายุ 3 ปีนี้ มีหน่วยลงทุนละ 50 บาท มีสิทธิถูกรางวัลทุกเดือนเป็นเวลานานถึง 36 เดือน โดยมีรางวัลที่ 1 เป็นรางวัลสูงสุด จำนวน 3 รางวัล รางวัลละ 10 ล้านบาท และมีรางวัลอื่นๆ อีก 25 รางวัล รางวัลที่ต่ำสุดคือเลขท้าย 4 ตัว จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 150 บาท ถ้าถือสลากออมสินครบ 3 ปีก็รับเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 51.00 บาท (ข้อมูลจากเวบไซต์ธนาคารออมสิน ณ วันที่ 17 พค. 2559 ดอกเบี้ยมีการปรับเปลี่ยนขึ้นลงตามประกาศของธนาคาร) 

การจะลงทุนสลากออมสินให้คุ้มนั้นต้องซื้อสลากในจำนวนที่มากพอเพื่อให้ถูกทุกงวด ตัวอย่างเช่น ถ้าลงทุนด้วยเงินทุกๆ 5 แสนบาท ก็จะซื้อสลากออมสินได้ 1 หมื่นหน่วย (หน่วยละ 50 บาท) ดังนั้นก็จะถูกเลขท้าย 4 ตัวทุกๆ เดือนได้อย่างแน่นอน เลขท้าย 4 ตัวนั้นออกเดือนละ 2 รางวัล รางวัลละ 150 บาท รวม 36 เดือน ก็จะเป็นเงิน 2 x 150 x 36 = 10,800 บาท และเมื่อครบ 3 ปี ถอนเงินคืนได้หน่วยละ 51.00 บาท ก็จะเป็นเงิน 51.00 x 10,000 = 510,000 บาท รวมได้เงินคืนทั้งสิ้น 10,800 + 510,000 = 520,800 บาท อันนี้เป็นผลตอบแทนขั้นต่ำสุดถ้าหากเราลงทุนแค่ 500,000 บาท

หากคิดเป็นผลตอบแทนโดยไม่คำนึงถึงดอกเบี้ยทบต้นและโอกาสถูกรางวัลอื่นๆ จะได้ผลตอบแทนเท่ากับ 20,800 / 500,000 x 100 = 4.16% หรือเท่ากับ 4.16 / 3 = 1.38% ต่อปี ซึ่งจะน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ราวๆ 3% ต่อปีอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเรารู้ถึงรูปแบบและผลตอบแทนของสลากออมสินแล้ว เราจึงสรุปได้ว่าสลากออมสินนั้นเหมาะสมกับ
  1. คนที่ไม่ชอบความเสี่ยงเลย ไม่สามารถสูญเสียเงินต้นจากการลงทุนได้ หรือ ต้องการเก็บเงินไว้ในช่วงระยะเวลา 3 ปีโดยที่เงินต้นไม่หายแต่ก็ได้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินในออมทรัพย์
  2. คนที่ชอบลุ้นรางวัลแล้วไม่อยากเสียเงินทุกครั้งเพื่อไปลุ้นรางวัล เพราะถ้าเราลงทุนซื้อล็อตตารี่ เมื่อไม่ถูกรางวัล เงินต้นก็จะหายเงินทันที แต่สลากออมสินถ้างวดนี้ไม่ถูก เราก็ยังสามารถไปลุ้นงวดหน้าได้ เงินต้นก็ไม่หาย
  3. คนที่อยากรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่เสียภาษี  เพราะดอกเบี้ยและรางวัลที่ได้รับจากสลากออมสินนั้นไม่เสียภาษี

ดังนั้นการลงทุนในสลากออมสินนั้นไม่ได้เหมาะสมกับทุกคนเสมอไป บางสถานการณ์หรือบางเวลาสลากออมสินก็สามารถเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะกับโจทย์หรือเป้าหมายของบางคนก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับแผนการเงินหรือพอร์ทการลงทุนของแต่ละคนที่ได้รับการวางแผนมานะครับ  

8 มิถุนายน 2560

5 ความผิดพลาดการเงินพื้นฐานที่เราทุกคนไม่ควรเจอ


1. ใช้จ่าย(สร้างหนี้)ไปกับสิ่งของเพื่อความสุขระยะสั้นมากเกินไปความรู้สึกสะดวกสบายทั้งในแง่การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนเรานั้นมีส่วนสำคัญในปัญหาทางการเงินของเราไม่น้อย เพราะหลายอย่างเป็นสิ่งที่ดูจะ "ละ" ยากพอสมควร ..ว่าไหมครับ? และคนส่วนใหญ่มักจะดึงเงินเก็บและเงินอนาคตเข้ามาใช้จ่ายในเงินส่วนนี้มากเป็นพิเศษด้วย ซึ่งนั่นจะมีแต่ยิ่งทวีคูณปัญหา ..วิธีแก้คือให้ลดละบางอย่างที่เล็กน้อยออกไปก่อน และค่อยพิจารณาตัดชิ้นใหญ่ไปตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม คือไม่จำเป็นต้องหักดิบ แต่ก็ต้องมีวินัยกันบ้างแหละ ..ใครทำได้ก่อน ก็ได้เปรียบกว่าในระยะยาว เท่านั้นแหละครับ

2. ไม่มีออมเผื่อฉุกเฉินเลย

คนส่วนใหญ่วางแผนการเงินเผื่อแค่ค่าใช้จ่ายและออมเผื่ออนาคต แต่ไม่มีเงินส่วนสำหรับฉุกเฉินเลย ซึ่งคำว่าฉุกเฉินเนี่ยมันไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นอะไรไป ต้องไปประสบอุบัติเหตุที่ไหน แต่แค่คนในครอบครัวมาขอยืมเงิน หรืออะไรก็ตามที่ทำให้กระแสเงินสดของคุณมันสะดุด แม้เพียงเล็กน้อย คืออะไรก็ตามที่เข้ามาเป็นครั้งคราวๆ แต่ทำให้คุณต้องคิดและคำนวณความเป็นอยู่ไปถึงปลายเดือน นั่นแหละคือความฉุกเฉิน(ซึ่งมันมีหลายระดับ) ..ห้ามมองข้ามเลยเด็ดขาด!

3. ลงทุนช้าเกินไป

เงินออมไม่เคยช่วยให้เรารวยขึ้นได้เลยครับ มันทำได้แค่ซื้อความปลอดภัยให้กับคุณ เพราะสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณรวยขึ้น คือ สินทรัพย์ และสินทรัพย์ก็มาจากการลงทุน ไม่ว่าจะในแง่ของหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ทุกการลงทุนก็มีความเสี่ยง ซึ่งถ้าคุณไม่คิดจะศึกษาอะไรเลย นอกจากจะจนลงเรื่อยๆ จากเงินเฟ้อแล้วก็ยังโดนทวีความรวดเร็วด้วยการลงทุนที่ผิดพลาดเข้าไปด้วย รับรองว่า(จน)เร็วกว่า 4G แน่นอนครับ

4. ประหยัดมากเกินไป

อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะบางคนก็คิดมากเป็นพิเศษ คิดถึงอนาคตจนลืมปัจจุบัน ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องเขียมขนาดนั้น คุณสามารถเลือกใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการได้ เพียงแค่มันต้องมีลิมิตและตั้งอยู่บนความเหมาะสม เพราะการที่คุณประหยัดเกินไป มันไม่ได้ส่งผลเฉพาะความเป็นอยู่ แต่มันลามไปถึงความคิดของคุณด้วยที่กำลังจะถูกตีกรอบ และแน่นอนมันไม่เคยเป็นผลดีกับใครครับ

5. ไม่วางแผนการเงินระยะยาว

บางคนชีวิตการเงินดูดีมาก แต่ก็วิ่งแบบเดือนชนเดือน ไม่มีการเติบโตอะไรเลย ..คือมันก็ดีอยู่หรอกครับ แต่ก็ดีแค่ในมุมหนึ่งเท่านั้นเอง และสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไปมันก็เป็นส่วนสำคัญมากซะด้วยสิ เพราะวันใดวันหนึ่ง คุณก็ต้องมีครอบครัว ซึ่งมันต้องใช้เงินเยอะมาก เว้นแต่ว่าคุณจะไม่มีลูก แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องแก่ ซึ่งมันก็ต้องใช้เงินอยู่ดี.. จริงไหมครับ? และการที่คนเราจะใช้เงินแบบที่ไม่ได้หาเงินตลอด 10-20 ปี มันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับชีวิตที่ขาดการวางแผน ซึ่งผมคิดว่าคุณคงไม่อยากล้อเล่นหรือลองดีกับเรื่องนี้แน่นอนครับ
คลิก รับข้อมูลการเป็นนักวางแผนการเงิน

16 เมษายน 2560

เพิ่มรายเหลือทำให้มีเงินออมมากขึ้น ด้วยการลดภาระดอกเบี้ยง่ายๆ โดยการทำ "รีไฟแนนซ์"


หนึ่งในวิธีลดภาระดอกเบี้ยเงินผ่อนและช่วยให้เรามีเงินออมมากขึ้นได้ง่ายๆ ก็คือ การ “รีไฟแนนซ์”

 การรีไฟแนนซ์ (Refinance) คืออะไร?



 การรีไฟแนนซ์ (Refinance) ก็คือ การขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน(ธนาคาร) ใหม่เพื่อนำไปชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันกับสถาบันการเงิน(ธนาคาร)เดิม ซึ่งสิ่งที่ผู้กู้จะได้รับประโยชน์ที่ดีกว่าจากเงินกู้ก้อนใหม่ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ค่างวดที่ต้องชำระลดลง ฯลฯ 

หรือ คือ การปิดหนี้สินยอดรวมเงินกู้คงเหลือจากผู้ให้สินเชื่อเดิม(หรือผู้ให้สินเชื่อเดิมแต่เป็นโครงการใหม่) ด้วยเงินกู้จากลูกจากเจ้าหนี้รายใหม่ โดยใช้ทรัพย์สิน(บ้าน)ที่เคยยื่นกู้ไว้มาเป็นหลักประกัน

 เงื่อนไขในการรีไฟแนนซ์ก็เหมือนการกู้เงินปกติ ผู้ให้กู้ (ธนาคาร) จำเป็นต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ก่อน แต่การรีไฟแนนซ์ทุกครั้งก็มีค่าใช้จ่ายตามปกติครับ ดังนั้นการดูแต่เพียงว่าดอกเบี้ย (ธนาคาร) ใหม่ถูกกว่า จึงยังคงไม่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจ ผู้กู้จะต้องดูด้วยว่าส่วนที่ประหยัดจากดอกเบี้ยที่ลดลงคุ้มกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการรีไฟแนนซ์หรือไม่? แล้ว ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ มีอะไรบ้าง? หลักๆ ก็จะเป็นค่าธรรมเนียมในการจดจำนองใหม่ 1% ของราคาประเมิน (ไม่เกิน 200,000 บาท) -ค่าประเมินราคาหลักประกัน -ค่าธรรมเนียมในการขอสินเชื่อ -ค่าอากรแสตมป์ ฯลฯ

 แต่การรีไฟแนนซ์ ไม่ใช่ว่าจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ะครับ ธนาคารมักจะระบุในสัญญาว่า ถ้ามีการรีไฟแนนซ์ก่อนครบกำหนด 3 ปี หรือบางที่ก็ 5 ปี จะมีเงื่อนไขค่าปรับ ดังนั้นหากจะรีไฟแนนซ์ก็ควรรอให้ครบกำหนดก่อนจะดีกว่าครับ

 ข้อดีของการรีไฟแนนซ์

 1. อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม 2. ให้ระยะเวลาผ่อนผันชำระที่ช้านานขึ้น 3. ให้กู้เพิ่มจากวงเงินค้างที่เหลืออยู่ได้ สมมุติว่าคุณผ่อนบ้าน 30 ปี ผ่อนไปซัก 3 ปีแล้ว การรีไฟแนนซ์จะช่วยลดเวลาการผ่อนชำระให้เหลือเพียง 18-19 ปีได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้เป็นหลักแสนหลักล้านบาท เพื่อเปลี่ยนเงินจ่ายดอกเบี้ยกลับมาประหยัดได้ และยังสามารถนำไปใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นของชีวิตแทนได้ด้วย ใครที่ควรรีไฟแนนซ์บ้าน? กลุ่มคนที่ผ่อนบ้านนานกว่า 3 ปี และมียอดหนี้คงเหลือมากกว่า 1,000,000 บาท "3 ปัจจัยก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์" 1. ดอกเบี้ยที่ลดได้ คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์หรือไม่ ค่าการประเมินหลักประกัน ค่าจดจำนอง ค่าประกันภัย และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรีไฟแนนซ์ เมื่อรวมกันแล้วค่าใช้จ่ายเหล่านี้ควรน้อยกว่าดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ ไม่งั้นก็ไม่คุ้มค่าต่อการรีไฟแนนซ์แน่นอนครับ

 2. ค่าปรับ จากการปิดสินเชื่อกับสถาบันการเงินเดิม ต้องตรวจสอบก่อนเสมอ เพราะหากค่าปรับในการคืนเงินกู้ก่อนกำหนดสูงกว่าดอกเบี้ยที่ประหยัดได้นั้นก็ไม่คุ้มค่าครับ (ส่วนมากกำหนดระยะเวลาผ่อนชำระขั้นต่ำไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี)
 3. ตรวจสอบสวัสดิการของนายจ้าง สำหรับพนักงานบริษัทควรตรวจสอบสิทธิพิเศษจากสถาบันการเงินที่ได้เคยให้กับบริษัทนายจ้างไว้ เช่น ดอกเบี้ยอัตราพิเศษของพนักงานบริษัท วงเงินกู้ยืม หรือระยะเวลาที่ในการผ่อน(ที่นานกว่า) เป็นต้น ครับ 

นอกเหนือจากทางเลือกในการ Refinance แล้วยังมีอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้กู้ซื้อบ้าน ก็คือ การขอเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิมหรือที่เรียกกันว่า “Retention” ซึ่งเป็นทางเลือกที่สะดวกรวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่าย แต่การทำ Retention มักจะไม่ได้รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยมากเท่ากับการ Refinance ซึ่งก็ทำให้สองวิธีนี้มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ก็ถ้าเปรียบเทียบทางเลือกระหว่างการ Retention กับการ Refinance แล้ว เอาเข้าจริงก็ไม่แตกต่างกันมากครับ เพียงแค่การ Refinance อาจจะยุ่งยากกว่าเล็กน้อย



 แต่ทั้งนี้อยากให้พิจารณาถึงความต้องการของตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก เหตุผลที่คนส่วนใหญไม่ได้ทำการรีไฟแนนซ์คืออะไรรู้ไหมครับ? ..ก็เพราะ ไม่รู้! หรือขาดความรู้ที่ถูกต้องทางด้านการเงินนั่นเอง ทั้งที่การประหยัดดอกเบี้ยเท่ากับคุณมีเงินออมมากขึ้น มีเงินเพิ่มมากขึ้นก็สามารถนำไปเก็บออมเพื่อการเกษียณ เพิ่มค่างวดในการผ่อนชำระ หรือเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูกได้มากขึ้น เห็นมั้ยครับว่าชีวิตที่ดีล้วนมาจากการวางแผนจริงๆ ก็เนี่ยล่ะครับ กับการวางแผนจัดการที่ดีขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็ช่วยทำให้คุณมีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้นแล้วล่ะครับ เยี่ยมไปเลย!

คลิก เรียนรู้เพิ่มเติมเริ่องการวางแผนการเงิน

27 มีนาคม 2560

บทบาทของที่ปรึกษาทางการเงิน Financial Advisor

หลายท่านคงมีข้อสงสัยว่าที่ปรึกษาทางการเงินหรือนักวางแผนการเงิน เขาทำอะไรกัน แล้วทำไมเราต้องมีที่ปรึกษาทางการเงิน แล้วเราจะเลือกที่ปรึกษาทางการเงินกันอย่างไรดี? ผมขออนุญาติเรียนนำเสนอทุกท่านดังนี้ครับ หน้าที่ของที่ปรึกษาทางการเงินคือการให้คำแนะนำ คำปรึกษา หรือจัดทำแผนการเงิน เพื่อให้ผู้รับคำปรึกษามีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่กำหนดไว้ในอนาคต เช่น แผนบริหารรายรับ-รายจ่าย แผนเกษียณอายุ แผนการศึกษาบุตร แผนภาษี แผนความคุ้มครอง และแผนมรดก เป็นต้น

        ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ปรึกษาทางการเงินจะมีบทบาทที่สำคัญมาก ในการสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับประชาชน ช่วยสร้างประเทศให้มีความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจอย่างแท้จริง


ดังนั้นบุคลากรที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ ต้องผ่านการเรียนรู้และการอบรมหลักสูตรวิชาชีพนี้ รวมทั้งกรณีให้คำแนะนำหรือบริการสินค้าทางการเงินก็ต้องมีใบอนุญาติจากหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาติผู้แนะนำการลงทุนหรือผู้วางแผนการลงทุน จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ใบอนุญาติตัวแทนประกันชีวิตและวินาศภัย จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นต้น

ประโยชน์ที่ท่านจะได้รับจากการมีที่ปรึกษาทางการเงิน คือการบริหารจัดการเงินอย่างประสิทธิภาพมายิ่งขึ้น เช่น ทำอย่างไรให้เงินเรามีโอกาสงอกเงยมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรที่จะบริหารความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างคุ้มค่า เพื่อทำให้เป้าหมายในชีวิตเราเป็นจริงขึ้นมาได้
เห็นไหมครับ คำว่า “ทำอย่างไร” คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ที่ปรึกษาทางการเงินจะให้คำแนะนำท่าน เพราะมันคือบทบาทหน้าที่ของพวกเขาครับ
มีคนจำนวนมากที่เข้าใจว่าคนรวยเท่านั้นถึงมีโอกาสวางแผนการเงิน ประเด็นนี้ไม่จริงครับ คนทุกคนไม่ว่ามั่งมีหรือยากจนก็สามารถที่จะวางแผนการเงินได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีฐานะทางการเงินอ่อนแอ ยิ่งต้องวางแผนการเงินครับ ผมเชื่อว่าทุกชีวิตต่างมีความต้องการที่จะใช้ชีวิตตนมีความสุขมากยิ่งขึ้น เช่น อยากมีบ้านสักหลัง อยากมีรถสักค้น อยากให้ลูกเรียนสูงๆ อยากสบายตอนเราชราภาพ อยากมีสวัสดิการมารองรับยามเราเจ็บป่วย เป็นต้น

“คนทุกคนไม่ว่ามั่งมีหรือยากจนก็สามารถที่จะวางแผนการเงินได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีฐานะทางการเงินอ่อนแอ ยิ่งต้องวางแผนการเงิน ครับ”

สุดท้ายมีคำกล่าวที่ว่า “ใครเจอเรา ชีวิตต้องดีขึ้น” การให้ความรู้ ความเข้าใจ ทางด้านการวางแผนการเงินที่ถูกต้อง การนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมรวมทั้งการบริการลูกค้าด้วยความปรารถนาดี จึงถือเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดของที่ปรึกษาทางการเงิน

เราพร้อมที่จะบริการทุกท่าน ลองติดต่อมาคุยและปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของเรา เพราะเราสามารถ สร้างมั่งคั่งอย่างมั่นคง ให้ชีวิตท่านได้ได้อย่างแน่นอนครับ
คลิก เพื่อรับข้อมูลที่ปรึกษาการเงินเพิ่มเติมฟรี


สมัครร่วมงานที่ปรึกษาการเงิน https://form.jotform.me/62262198232454

10 มีนาคม 2560

เก็บเงินออมหลักหมื่น ได้เป็นเงินเกษียณหลักล้าน



บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นโปรโมชั่น การผ่อนมือถือ
ผ่อน 0% นาน 6 เดือนบ้าง 10 เดือนบ้าง
ทำให้เราก็ตัดสินใจซื้อมือถือเครื่องใหม่ได้ง่ายๆ
แค่ผ่อนเดือนละ 2,000-3,000 บาทเอง
ในทางการเงินนั้นมูลค่าของมือถือจะลดลงเรื่อยๆ
พอใช้งานไป 3-5 ปีแทบจะหมดมูลค่าของมัน
แต่หากเราเปลี่ยนการผ่อนในรูปแบบนี้
มาออมในสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าในอนาคต
เช่น หุ้น หรือ กองทุนรวม จะสามารถมือเงินเก็บหลักล้านได้ในระยะยาว
เช่นออมในกองทุนรวม เดือนละ 2,000 บาท
เป็นระยะเวลา 10 ปี
ผลตอบแทนจากกองทุนรวมเฉลี่ยปีละ 10%
(ดูจากผลงานอดีตย้อนหลัง)
อนาคตจะมีเงิน 382,498 บาท
เกิดส่วนต่างของผลกำไร 142,498 บาท
หากอดทนให้เวลา 20. ปี ในการออม
จะมีเงินอยู่ที่ 1,374,600 บาท
เกิดส่วนต่างผลกำไร 894,600 บาท
แต่หากอดทนได้ถึง 30 ปี "เราจะมีเงินในอนาคต 3,947,857 บาท !!"
เกิดส่วนต่างของกำไร 3,227,857 บาท
ระยะเวลาในการออมที่ยาวพอ
เกิดความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้น
ส่งผลให้เงินปลายทางต่างกันอย่างทวีคูณ
(จากการเก็บเงินเดือนละ 2,000 บาท)
นั่นเป็นที่มาของคำว่า
" ออมก่อนรวยกว่า "
ดังนั่นเเล้วการเก็บเงินเพื่อเกษียณ
เราสามารถเริ่มต้นจากเงินออมก้อนเล็กๆ 10%-15% ของรายได้
ให้ผ่านวันเวลาที่เกิดดอกเบี้ยทบต้น
ก็จะกลายเป็นเงินเกษียณก้อนใหญ่ของเราได้

24 กุมภาพันธ์ 2560

กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น อีกหนึ่งทางเลือกในการพักเงิน


การลงทุนไม่ได้มีแต่ต้องเอาไปลงหุ้น เงินหมุนเวียนก็สามารถเอามาบริหารได้

การออมแบบเดิมๆ ในธนาคาร เรารู้กันอยู่ว่าได้ดอกเบี้ยเพียง 0.3-0.5% สำหรับคนที่ยังเก็บเงินออมระยะสั้นแบบเดิมๆ คืออยู่ในบัญชีธนาคารเพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ไหนดี วันนี้จะมาแนะนำ "กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น" อีกหนึ่งทางเลือกในการพักเงินครับ 

การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นถึงไม่ได้รับการคุ้มครองเงินต้นเหมือนเงินฝากธนาคาร แต่ก็ใช่ว่าจะเสี่ยงอะไรมากมาย เนื่องจากนำเงินที่เราลงทุนไปลงทุนในเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชน โดยเรามีฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่ต้องได้รับชำระเงินต้น และดอกเบี้ย โดยไม่มีการนำเงินไปลงทุนในหุ้น

วัตถุประสงค์ของกองทุนประเภทนี้ มีไว้เพื่อบริหารเงินสำรอง บริหารสภาพคล่อง เงินส่วนเกินที่เราไม่ได้ต้องการใช้เร็วๆนี้ แต่ต้องการผลตอบแทนที่ดีขึ้น ระยะเวลาการลงทุนก็จะสั้นๆ อาจจะหลักสัปดาห์ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี แต่เกินกว่า 1 ปีก็ไม่ควรใช้กองทุนประเภทนี้

กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น มีสภาพคล่องสูง ถึงไม่ไวเท่าบัญชีออมทรัพย์ แต่จะได้รับเงินในวันทำการวันถัดไป คือไปขายในวันทำการ และจะได้รับเงินในวันทำการวันถัดไป (T+1) คือขายวันจันทร์ ได้เงินวันอังคาร แต่ขายวันศุกร์ จะได้รับเงินวันจันทร์ แต่ต้องระวังช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่มีวันหยุดยาวหลายวัน จึงไม่เหมาะที่จะใช้บริหารเงินที่ต้องใช้ทันที

กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นมีเงินน้อยก็ลงทุนได้ บางกองแค่ 500 บาทก็ลงทุนได้แล้ว

กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น รับรู้ผลตอบแทนทุกวัน อยู่แค่ไม่กี่วันก็ได้ผลตอบแทน ไม่เหมือนกับบัญชีเงินฝากธนาคาร ที่คิดผลตอบแทนปีละ 2 ครั้ง คือถ้ายังไม่ถึงช่วงที่ได้ดอกเบี้ย เราไปถอนออกมาก่อนก็จะยังไม่ได้รับดอกเบี้ยทันที ผลตอบแทนที่ได้รับ บุคคลธรรมดาก็ไม่ต้องเสียภาษี

ผมยกตัวอย่างกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น และผลตอบแทนย้อนหลังมาให้ดูบางส่วน