แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภาษี แสดงบทความทั้งหมด

4 ขั้นตอนวางแผนการเงินและเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม

        ด่านแรกของการวางแผนการเงิน คือ
        การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนบริหารรายรับ - รายจ่าย และหนี้สิน เนื่องจากการที่เราจะเริ่มมีความมั่งคั่งได้ เราก็ต้องทำงาน เมื่อเราทำงาน เราก็มีรายรับ ขณะที่เรามีรายรับ เราก็มีรายจ่ายที่ต้องใช้ในการดำเนินชีวิต และในการดำเนินชีวิตบางครั้งเราก็อาจจะต้องใช้ "เครดิต" มาช่วยในการบริหารกระแสเงินสด เพื่อให้เรามีสินทรัพย์ที่เราต้องการในวันนี้ (เช่น บ้าน รถ หรือสิ่งของอื่นๆ) เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการ รายรับ / รายจ่าย / หนี้สิน อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มี "เงินเหลือ" (Surplus) เพื่อเป็นการออมไว้ใช้ในอนาคตยามที่เราไม่มีรายได้แล้ว (เช่น ตอนเกษียณ) หรือเอาไว้เป็นเงินสำรองเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในทางการเงิน คนเราจะมีความมั่งได้ ต้องเริ่มจากนิสัยทางการเงิน ในการบริหารรายรับ รายจ่ายที่ดีก่อนครับ



        สินค้าทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับการบริหารเงินในขั้นตอนนี้ :

        1) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ = มีสภาพคล่องสูง สามารถฝากเข้าถอนออกได้ตลอดเวลา แต่ผลตอบแทนต่ำ จึงมีไว้เป็นที่เก็บเงินสำหรับเงินที่ต้องใช้จ่ายประจำ มีเงินเข้าเงินออกสม่ำเสมอ เช่น ไว้จับจ่ายใช้สอย เป็นค่ากินอยู่ในแต่ละเดือนเท่านั้นพอ (ไม่ควรไว้นานกว่านั้น เพราะผลตอบแทนต่ำ) หรืออาจไว้สำหรับเป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินทันด่วน (ควรมีไว้ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนพอ)

        2) บัญชีเงินฝากประจำ / เงินฝากสหกรณ์ / เงินฝากอื่นๆ / ตั๋วเงินคลัง / พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น /ตราสารหนี้ระยะสั้น = มีสภาพคล่องต่ำกว่าออมทรัพย์ (ถูกบังคับให้ต้องฝากต่อเนื่อง เช่น ตั้งแต่ 1-3 ปี) แต่ผลตอบแทนสูงกว่า จึงเหมาะกับการเป็นที่พักเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายประจำ เพื่อเป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน หรือเก็บออมไว้สำหรับเป้าหมายระยะสั้น-กลาง ภายใน 1-3 ปี (เช่น เก็บเงินแต่งงาน, ดาวน์บ้าน/รถ, ท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น)

        3) กองทุนรวมตลาดเงิน = เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในเงินฝากหรือพันธบัตรระยะสั้นหลายๆที่ จุดเด่นคือ มีสภาพคล่องสูงกว่าเงินฝากประจำ สามารถเอาเงินเข้าออกบัญชีกองทุนได้ตลอด (ใช้เวลารอ 1 วันหลังส่งคำสั่งซื้อหรือขายกองทุน) แต่มีอัตราผลตอบแทนพอๆกัน (ประมาณ 1.5-2% ต่อปี) จึงเหมาะสำหรับไว้เป็นที่พักเงินระยะสั้นที่เหลือจากการใช้จ่าย แทนที่บัญชีออมทรัพย์เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือใช้เป็น "ศูนย์กลางในการบริหารเงินระหว่างบัญชีธนาคารต่างๆ" ก็ได้ เพราะบางกอง สามารถผูกได้หลายบัญชีธนาคาร (ไม่เฉพาะธนาคารที่เป็นเจ้าของกองทุน) สามารถส่งคำสั่งซื้อกองทุน จากบัญชีธนาคารไหนๆ แล้วส่งคำสั่งขายกองทุน เพื่อเอาเงินเข้าบัญชีธนาคารไหนๆ ก็ได้ (สะดวกกว่าการไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มธนาคารหนึ่ง แล้วเดินไปฝากอีกธนาคารหนึ่ง เพราะสามารถทำผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้เลย)

        4) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ระยะสั้น-กลาง (ระยะเวลาสัญญา3-7 ปี)= เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อบังคับให้เราออมเงิน จะได้เก็บเงินให้อยู่เป็นเงินก้อนใหญ่ โดยมีการคุ้มครองชีวิตพ่วงด้วย นั่นเอง

        5) บัตรเครดิต = เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารกระแสเงินสดเพื่อความสะดวก ในการซื้อสินค้าและบริการ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพกเงินเยอะๆไปจ่ายเป็นก้อนเดียว แต่สามารถจ่ายทีหลัง หรือทยอยจ่ายได้ (เช่นพวก ผ่อน 0%) ทำให้เราไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว เราจึงสามารถนำเงินไปบริหารจัดการเรื่องอื่นๆได้ แล้วสามารถทยอยจ่ายได้ในอนาคต ***แต่สำคัญว่า เราต้องมีเงินเพียงพอที่จะซื้อสินค้านั้นแล้วเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเรามีเงินจ่ายคืนชัวร์ๆ ไม่โดนชาร์จดอกเบี้ยสูงๆ (เฉลี่ย 20% ต่อปี) นอกจากนั้น ก็มีไว้เพื่อใช้สิทธิพิเศษ หรือโปรโมชั่นลดราคา หรือสะสมคะแนนในการใช้จ่ายต่างๆอีกด้วย

        6) การใช้สินเชื่อเงินกู้ (O/D / P/N)= เป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อมาใช้บริหารสภาพคล่องในธุรกิจ หรือลงทุนระยะยาว หรือหากเป็นบุคคลธรรมดาก็ใช้เพื่อกู้ซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาสูง เช่น บ้าน รถ ตามความจำเป็น ข้อสำคัญคือ ต้องใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ และต้องมีศักยภาพในการผ่อนชำระที่เหมาะสม

        การปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection)

        เมื่อเราบริหารรับ / รายจ่าย / หนี้สินได้ดี จนมีเงินเหลือ สะสมมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว เราก็ควรจะปกป้องคุ้มครองเงินเหลือที่เราหามาได้ซะก่อน เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆหรือเป็นโรคร้ายแรง, ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งต้องเสียค่ารักษาแพงๆ, เป็นคนทุพพลภาพ ทำงานไม่ได้ไม่มีรายได้ แต่ยังมีชีวิต ยังมีรายจ่าย หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังขาดคนหารายได้มาเลี้ยงดู รวมไปถึงความสูญเสียในทรัพย์สินต่างๆ เช่น รถ บ้าน ธุรกิจ จากอุบัติเหตุ (รถชน ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ) เราจึงต้องถ่ายโอนความเสี่ยงเหล่านี้ให้คนอื่น โดยการจ่ายเบี้ยประกันเล็กน้อย แลกกับวงเงินความคุ้มครองที่สูง ซึ่งก็คือ "การทำประกัน" นั่นเอง

        สินค้าทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับการบริหารเงินในขั้นตอนนี้ :

        1) ประกันชีวิตแบบเน้นความคุ้มครองชีวิต (แบบตลอดชีพ หรือแบบชั่วระยะเวลา) = ไว้สำหรับปกป้องความเสี่ยง ไม่ให้คนข้างหลังเดือดร้อน หากเราจากไปอย่างกะทันหัน

        2) ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ (รวมถึงประกันโรคร้ายแรงและทุพพลภาพ)= ไว้สำหรับคุ้มครองค่ารักษาแพงๆ มีเงินชดเชย รองรับกรณีเป็นโรคร้ายแรงหรือทุพพลภาพ

        3) ประกันภัย (ประกันทรัพย์สิน) = มีไว้คุ้มครองความเสียหายของทรัพย์สิน ให้เราได้รับเงินชดเชย



        เพิ่มพูนความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation)

        เมื่อเรามีเงินเหลือ และเงินเหลือได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีแล้ว เราก็นำเงินที่เหลือไปต่อยอด เพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้อย่างสบายใจ เพื่อให้เงินที่เรามีเติบโตเป็นก้อนใหญ่ไว้ใช้อย่างเพียงพอในวันที่เราไม่มีรายได้ในอนาคต (ตอนเกษียณ) ซึ่งก็คือ "การลงทุน" นั่นเอง นอกจากนั้น ระหว่างทางที่เราทำงาน มีรายได้ เราก็ต้องเสียภาษี จึงต้องมี "การวางแผนภาษี" เพื่อดึงรายได้ของเรากลับมาอย่างถูกต้องเหมาะสม ทำให้เรามีเงินเพิ่มขึ้นอีกด้วย

        สินค้าทางการเงินที่เหมาะสมสำหรับการบริหารเงินในขั้นตอนนี้ :

        1) หุ้นสามัญ / ตราสารทุน (Equity) = ผู้ถือมีฐานะเป็น "เจ้าของ" บริษัท ได้รับผลตอบแทนเป็นราคาหุ้นที่สูงขึ้น (Capital Gain) และเงินปันผล (Dividend) ที่ไม่แน่นอน (ขึ้นอยู่กับนโยบายและผลประกอบการของบริษัท)

        2) หุ้นกู้ / ตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว / พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (Bond / Debentures) = ผู้ถือมีฐานะเป็น "เจ้าหนี้" ของผู้ที่ออก ได้รับผลตอบแทนเป็นราคาหุ้นที่สูงขึ้น (Capital Gain) หากมีการซื้อขายกันในตลาด และดอกเบี้ย (Interest) ที่จ่ายคงที่ แน่นอน

        3) อสังหาริมทรัพย์ (Property)= ลงทุนเพื่อหวังรายได้จาก "ค่าเช่า" และ/หรือ ราคาที่เพิ่มสูงขึ้น

        4) ทองคำ (Gold) = หวังผลกำไรจากราคาที่สูงขึ้น หรือถือไว้ เพื่อรักษามูลค่าของเงินลงทุน

        5) อนุพันธ์ (Derivatives) เช่น Futures, Options = ใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงในการลงทุน ด้วยการทำสัญญาว่าจะซื้อหรือขายไว้ล่วงหน้า หรือใช้เป็น "คานงัด" (Leverage) เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้สูงขึ้น ด้วยเงินลงทุนที่น้อยลงกว่าการไปลงทุนในหุ้นนั้นโดยตรง

        6) อัตราแลกเปลี่ยน (Forex) = หวังผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนไป

        7) กองทุนรวม (Mutual Fund)= หวังผลเหมือนกับการไปลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆเองโดยตรง แต่มีความสะดวกกว่า เพราะไม่ต้องคัดเลือกสินทรัพย์เอง ไม่ต้องบริหารจัดการเอง หากเป็น RMF / LTF ก็จะได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีด้วย

😎 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับราชการ = เป็นเครื่องมือในการลงทุนอัตโนมัติจากบริษัทที่ทำงาน คาดหวังผลลัพธ์เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป และได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีด้วย

        9) ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ระยะยาว (แบบสะสมทรัพย์ ระยะยาว 7 ปีขึ้นไป, แบบบำนาญ) = ใช้เพื่อต้องการการันตีเงินส่วนที่จำเป็นในอนาคต ผลตอบแทนต่ำ แต่มีความแน่นอน และได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี

        ส่วนจะเลือกลงทุนในอะไร ก็แล้วแต่ความชอบ ความต้องการ ความรู้ ความถนัด หรือลงทุนในหลายๆสินทรัพย์ ตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนที่วางแผนไว้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการ ในความเสี่ยงที่รับได้ ก็ได้ครับ



        การส่งมอบความมั่งคั่ง” (Wealth Distribution) เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้
        ในการบริหารจัดการความมั่งคั่ง เพราะจะช่วยให้สิ่งที่คุณสร้างสมและเก็บรักษามาตลอดชีวิตถูกจัดสรรให้แก่คนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือแม้กระทั่งการแบ่งปันให้กับผู้อื่นตามที่คุณต้องการ โดยหัวใจหลักของการส่งมอบความมั่งคั่งก็คือ “การวางแผนมรดก” ที่จะช่วยส่งผ่านความมั่งคั่งร่ำรวยจากรุ่นสู่รุ่น แถมยังช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะถูกสืบทอดไปตามเจตนารมณ์ของคุณ
        หลังจากที่คุณได้สร้างและสะสมความมั่งคั่งของตนเองมาระดับหนึ่ง ก็ถึงเวลาคิดและถามตัวเองว่าตอนนี้คุณมีทรัพย์สินอะไรบ้าง? แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่? หรือหากวันนี้คุณเป็นอะไรไป ทายาทจะได้รับมรดกอย่างที่คุณอยากยกให้หรือไม่?
        เป็นไปได้ว่า...ถ้าคุณไม่ได้มีการวางแผนและตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ทรัพย์สมบัติของคุณอาจตกไปอยู่กับคนที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะมอบให้ก็เป็นได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นตามข่าวหน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ... ญาติพี่น้องทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงมรดก หรือลูกนอกสมรสออกมาเรียกร้องสิทธิใน
ทรัพย์สมบัติ หนักเข้าก็ถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เสียทั้งชื่อเสียงและเงินทอ
        ขั้นตอนนี้อาจจะไม่ได้ใช้สินค้าทางการเงินเป็นหลัก แต่จะใช้ "กระบวนการ" มากกว่า เช่น การจัดทำพินัยกรรม, การวางแผนส่งมอบธุรกิจ, การจัดตั้งกองทรัสต์, การตั้งธรรมนูญครอบครัว ฯลฯ หากจะใช้สินค้าทางการเงิน ก็เช่น ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เพื่อสร้างเงินมรดกการันตีให้ลูกหลาน เมื่อเราจากไป ก็ได้ครับ


อย่าฝากเงินทั้งหมดไว้กับธนาคาร เพราะ…



เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน ชามละ 20 บาท ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าปัจจุบันนี้ ราคาก๋วยเตี๋ยวสูงถึงชามละ 40บาททีเดียว อะไรที่ทำให้ราคามันถีบ ตัวสูงขนาดนั้นล่ะ…
“เงินเฟ้อ” มันคือเงินเฟ้อ อธิบายง่ายๆ คือ ราคาสินค้าต่างๆ สูงขึ้น แต่ว่ามันสูงขึ้นเร็วเกินไปรึเปล่า แล้วมีผลกระทบอะไรกับเราล่ะ.. อยากให้เรามาดูตรงนี้กัน
ราคาก๋วยเตี๋ยวที่เพิ่มขึ้น มานั่งคิดดูแล้ว ราคามันเพิ่มขึ้นเป็น2เท่าคิดเป็นอัตราทบต้น 3.6%ต่อปี ในขณะที่ถ้าฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ฝากประจำโดยไม่ถอนเลย ถ้าได้ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ทั้งๆที่เอาดอกเบี้ยไปฝากต่อด้วยนะ เงินของเราจะต้องใช้เวลาถึง 72ปี ถึงจะโตขึ้นเป็น2เท่า เงินหายไป ถูกขโมยไปด้วยภาษีดอกเบี้ย 15% และเงินเฟ้อคิดแค่3% เงิน 1ล้านที่เราฝากไว้ที่ธนาคารด้วยอัตราดอกเบี้ย1%ต่อปี ฝากทิ้งไว้ 5 ปีเงินหายไป 1 แสน ดังนั้น อย่าฝากเงินทั้งหมดไว้กับธนาคารครับ

ใช่แล้วล่ะครับ.. ยิ่งฝากเงิน เงินของเรายิ่งด้อยค่าลง เพราะเงินมันเฟ้อ.. อัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศ เค้ารวมรายการสินค้าหลายๆ ประเภทเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งก็อาจจะรวมถึงอะไร จิปาถะมากมาย แต่อย่างน้อย รู้ว่าสิ่งที่ต้องกินทุกวัน ราคามันสูงทวีคูณขึ้นไปมากทีเดียว..
หากแยกกลุ่มเฉพาะบางอย่างอัตราเงินเฟ้อสูงมาก เช่น ค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 10% ,ค่าการศึกษาสูงถึง7%
แล้วเราควรทำอย่างไร ควรลงทุนอะไร แล้วมันจะไม่เสี่ยงเหรอ.. ในข้อนี้คิดว่าฝากเงินเฉยๆ ดังที่กล่าวมา มันก็คือความเสี่ยงแล้ว แต่เป็นความเสี่ยงโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง แล้วถ้าจะลงทุน มันมีอะไรให้เราลงทุนบ้างล่ะ..
นึกคร่าวๆ วิธีที่คนทั้งหลายลงทุนกัน (แบบถูกกฎหมายและไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษ) เห็นจะมี ฝากเงินเผื่อเรียก ฝากประจำ ลงทุนพันธบัตร ลงทุนตราสารหนี้ ลงทุนกองทุนรวม ประกันชีวิต ลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารทุน ที่เราชอบเรียกกันว่า “หุ้น” แล้วการลงทุนแต่ละประเภท ต่างกันอย่างไร..
ฝากเงินเผื่อเรียกกับฝากประจำ คงไม่ต้องอธิบาย ..
ลงทุนพันธบัตรกับตราสารหนี้ พันธบัตรก็คือตราสารหนี้ที่รัฐบาลเป็นคนออก ส่วนตราสารหนี้เอกชน เค้าก็เรียกสั้นๆ ว่า “หุ้นกู้” คือ มันไม่ได้เหมือนหุ้นซะทีเดียว คือ มันมีลักษณเหมือนซื้อสลากออมสิน คือมีเป็นเป็นก้อนเล็กๆ ไม่กี่พันบาท ไปจนถึงก้อนใหญ่ๆ หลักพันล้านบาท แล้วก็ต้องถือไว้จนครบกำหนดไถ่ถอน อาจจะมีแบบระยะเวลา 3 เดือน ไปจนถึง 100 ปี (หุ้นกู้ ปตท. อายุ 100 ปี ดอกเบี้ย 5.9% ต่อปี น่าจะขายหมดไปแล้ว คนที่ซื้อก็น่าจะเป็นพวกสถาบันการเงินกว้านไปจนหมด) คือ ถ้าเราซื้อพันธบัตรหรือหุ้นกู้ เราก็จะได้ดอกเบี้ยในอัตราที่แน่นอน ซึ่งจะสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่จะเริ่มมีความเสี่ยงสูงขึ้น จากการที่เราต้องรับผิดชอบเงินของตัวเองแล้ว ไม่เหมือนเงินฝากที่มันจะไม่สูญไป (ถ้าธนาคารไม่ล้ม) ดังนั้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลความเสี่ยงจึงน้อยที่สุด รองลงมาก็คือหุ้นกู้ของกิจการขนาดใหญ่ ก็คือพวกกลุ่มปตท. หรือเครือปูนซิเมนต์ไทย
ฝากประกันชีวิต เป็นการลงทุนแบบออมเงินและดูแลเราตอนป่วยเข้าโรงพยาบาล บางคนป่วยเพียงครั้งเดียวทุกอย่างที่สร้างมาก็หายไปกับตา หากยังมีแรงก็หาใหม่ แต่ถ้าไม่มีแรงจะทำอย่างไร? คงเป็นภาระให้กับลูกหลานต่อไป ประกันชีวิตคอยดูแลช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน ทำให้มีสภาพคล่องทางการเงินขึ้นได้ ยามชราก็จะมีเงินไว้ใช้ ในบั้นปลายของชีวิต
สรุปความคิด – เงินเฟ้อกัดกร่อนเงินของเรา ขโมยเงินของเราไป ถ้าเราทำให้เงินงอกเร็วกว่าเงินเฟ้อไม่ได้ เงินของเราก็ด้อยค่าลงนั่นเองครับ


https://form.jotform.me/62262198232454

5 นิสัยการใช้เงิน คนจะจน vs คนจะรวย


จากหนังสือ START LATE FINISH RISH เริ่มต้นช้าใช่ว่าจะรวยไม่ได้ คุณเดวิด บาค แบ่งนิสัยการใช้เงินโดยใช้หลักการ รู้หา รู้ใช้ รู้ออม รู้ลงทุน มาบริหารจัดการ ซึ่งส่งผลต่อชะตาชีวิตเราว่าจะเป็นคนจน หรือ คนรวย


 เราจะทำการไล่ไปทีละนิสัยเพื่อให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และเข้าใจว่าทำไมนิสัยแต่ละแบบจึงกำหนด     ชะตาชีวิตของคุณแน่นอน และจะเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยกลยุทธ์อะไรดี
โดย 20 % เป็นเงินออม อีก 30 % นำไปลงทุน ในกองทุนหรือธุรกิจที่ให้ผลประโยชน์งอกเงยตามหลัก "ให้เงินทำงาน  เพื่อคุณ"

ใช้เงินเท่ากับที่หาได้ ทำไมถึงจน ? 
      นิสัยนี้ คนเข้าใจกันผิดมาก ๆ ว่า "ดีแล้วนี่  ไม่เห็นน่าเดือดร้อนเลย" ปัญหาคือ ถ้าคุณหาได้ 100 ก็ใช้ 100 คุณจะไม่มี
    เงินเก็บสำรองยามฉุกเฉินเลย ดังนั้นคุณควรเปลี่ยนตัวเองจากนิสัย "หา 100 ใช้ 100" ตั้งแต่วันนี้เลย ตามขั้นตอนนี้
    1 เริ่มลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
คนเราเข้าใจผิดมาตลอดว่า "ถ้าอยากรวยต้องหาเงินเพิ่ม" ผิด ผิด ผิด! ผิดหลักการบริหารเงินส่วนตัวทุกคนทุกครูอาจารย์
    ในโลก เพราะเรากำลังพึ่งพาอำนาจนอกตัวเรา คือคนที่จ้างงานเราแทนที่จะเริ่มต้นที่ตัวเองก่อนคือการตัดรายจ่าย ซึ่งได้ผลที่สุด  เร็วที่สุด ไม่ต้องรอใคร

    
2 ปลูกฝังนิสัย ได้เงินมาปั๊บ หัก 10 % เป็นเงินออมเลย    
เมื่อทำได้ครึ่งปีแล้วค่อยเพิ่มเป็น 15 และ 20 % ในที่สุด ห้ามเถลไถลกำเงินแล้ว "ขอซื้อของก่อนน่า" เด็ดขาด!
    3 นำเงินออมนั้นเข้าบัญชีแยกต่างหาก                  
เข้าบัญชีที่สามารถถอนเงินได้ไม่ต้องขอ ไม่ใช่เข้ากองทุนที่ ปีถึงมีสิทธิ์ถอน เพราะนี่คือเงินออมฉุกเฉิน ยังไม่ใช่
     เงินลงทุน และที่ต้องแยกบัญชีต่างหากเพราะเจ้าของเงินจะได้เห็นตัวเลขเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่ฝากเพิ่ม ทำให้เกิดกำลังใจ
     ผลักดันให้คุณรู้ว่าการสร้างนิสัยใหม่ให้ผลคุ้มค่าน่าชื่นใจอย่างนี้เอง ก็จะมีมานะอยากทำดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะเห็นสมุดบัญชีแล้วดีใจจัง แทนที่จะหวาดกลัวไม่กล้าอัพเดทบุ๊คเหมือนที่ผ่านมา
     4 ทุกครั้งที่หักเงินออมแล้วนำเข้าธนาคารจงชมเชยตัวเองเพื่อสร้างกำลังใจ
คนเรามักเข้าใจผิดว่า เมื่อทำอะไรสำเร็จต้องให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อของหรือปรนเปรอด้วยความหรู ความแพง

      ผิด! การให้รางวัลตัวเองที่ดีที่สุดคือการ "สร้างอนาคตที่ดี" ให้ตัวคุณ และเมื่อคุณกำลังสร้างอนาคตทีละขั้น ๆ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณเกิดพลังกายและใจ คือ
"หัดชมชยตัวเองทุกครั้งที่เราทำดี " การชมเชยตัวเองคือการให้พลังแก่จิตวิญญาณข้างใน
    ของคุณชนิดหาค่ามิได้ มันบอกนิสัยรักตัวเองอย่างชัดเจนเลย และคนรักตัวเองจริง ๆ ก็จะมุ่งมั่นสร้างสรรค์แต่สิ่งดี ๆ สู่ชีวิตและยอมขจัดหรือโละสิ่งอันไม่พึงปรารถนาหรือบั่นทอนชีวิตออกไปอย่างไม่ลังเล ที่สำคัญ การชมเชยตัวเองจะช่วยย้ำจิตคุณว่าคุณทำสิ่งที่ดีงามแล้ว จิตก็จะอยากทำดีต่อไปและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
     5 อย่านำเงินออมนี้ไปให้รางวัลตัวเองด้วยของฟุ่มเฟือยเด็ดขาด
เพราะหลายคนพอเห็นเงินออมเริ่มเติบโตขึ้น จะถอนไปเล่นแชร์ เล่นหุ้น ซื้อของแพง ๆ ที่อยากได้ ไม่ใช่ ผิดวัตถุ

     ประสงค์ เงินออมนี้ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ตกงานกระทันหัน ที่บ้านป่วย รถเสียต้องซ่อม ยกเครื่อง ฯลฯ
     กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณเปลี่ยนจากความเชื่อแบบ "ใช้เงินพอดีกับรายได้ ไม่เห็นเดือดร้อน" มาเป็น  คนที่เห็นคุณค่าของการออมเงิน ต้องอาศัยการชมเชยตัวเองบวกกับวินัย

กำหนดเป้าหมายทางการเงินก่อน แล้วค่อยหาที่อยู่ของเงินให้เหมาะสม



แนวความคิดการวางแผนด้านการเงิน
ต้องมีเป้าหมายชีวิต แล้วมากำหนดเป้าหมายทางการเงินให้สอดคล้องกัน

 “ เป้าหมายทางการเงิน “ เป็นสิ่งที่ทุกคนวาดฝันไว้ เช่น อยากมีบ้านหลังโตๆ อยากได้รถ อยากมีเงินใช้เยอะๆ หลังเกษียณอายุ เป็นต้น ซึ่งหลายๆ คนสามารถทำตามฝันที่วางไว้ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย บางคนต้องใช้ความพยายามอย่างมากจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้  หรือบางคนสามารถทำตามความตั้งใจไว้ได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นคือ เป้าหมายทางการเงิน การวางแผนทางการเงินเป็นตัวช่วยที่ทำให้เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น ดังนั้น เรามาเรียนรู้ถึงวิธีที่จะช่วยให้การวางแผนการเงิน เพื่อให้เป้าหมายทางการเงินประสบความสำเร็จได้

กำหนดเป้าหมายทางการเงิน

 ดั่งสำนวนที่ว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” สำหรับการตั้งเป้าหมายทางการเงิน หากมีการตั้งเป้าหมายที่ดี และเหมาะสมแล้ว ความเป็นไปได้ที่เป้าหมายทางการเงินนั้นจะประสบผลสำเร็จก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินความสามารถ ลักษณะของเป้าหมายทางการเงินที่ดีนั้น ประกอบไปด้วย 5 ปัจจัย หรือที่เราเรียกกันว่าการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ดีตามหลัก SMART ได้แก่
      - S pecific : ชัดเจน ว่าต้องการอะไร
      - M easurable : วัดผลได้ เพื่อให้รู้ว่าเป้าหมายใกล้สำเร็จหรือไม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบตัวเงิน 
      - A ccountable : รู้ถึงแนวทางว่าทำอย่างไร เพื่อให้เป้าหมายนี้สำเร็จได้
      - R ealistic : เป้าหมายควรท้าทาย แต่สามารถทำได้จริง
      - T ime Bound : มีระยะเวลากำหนดแน่นอนว่า ต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะสำเร็จผลได้

      ตัวอย่าง เป้าหมายทางการเงินที่ดี คือ นายมั่งมี ต้องการมีเงินเก็บ จำนวน 1 ล้านบาท โดยตั้งใจจะออมเงินจำนวน 16,700 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เป็นต้น

      เป้าหมายทางการเงิน สามารถแบ่งแบบง่ายๆ ตามระยะเวลาได้ 3 แบบ คือ เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลาง และเป้าหมายระยะยาว ซึ่งเป้าหมายในแต่ละช่วง จะมีความสำคัญมากน้อยแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการทางการเงินของแต่ละบุคคล โดยเป้าหมายทางการเงินในแต่ละช่วงอาจเป็นดังนี้

      1. เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี เช่น การศึกษาต่อปริญญาโท ซื้อรถยนต์ หรือสินค้าต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น

      2. เป้าหมายทางการเงินระยะกลาง คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลามากกว่า 3 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี เช่น การดาวน์เพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม การใช้จ่ายในงานแต่งงาน เป็นต้น

      3. เป้าหมายทางการเงินระยะยาว คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลามากกว่า 5 ปี เช่น การเกษียณอายุ การศึกษาบุตร เป็นต้
เมื่อกำหนดเป้าหมายทางการเงินแล้วจึงหาที่อยูู่ของเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ซึ่งจะมีเรื่องเวลา ผลตอบแทน ความเสี่ยง และสภาพคล่อง เข้ามาเกี่ยวข้อง เงินอยู่แต่ละที่จึงทำหน้าที่แตกต่างกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายชีวิตอย่างมั่งคั่งและมั่นคง


การนำเงินออมเพื่อเป้าหมายการเงินนั้น ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาการลงทุน ระดับความเสี่ยงของการลงทุนที่ยอมรับได้ ความสำคัญของเป้าหมาย เป็นต้น โดยอาจเลือกวางเงินไว้ตามระยะเวลาของเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม มีดังนี้
      1. เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น ควรลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เพราะมีระยะเวลาในการลงทุนสั้น จึงไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงได้มากนัก หากประสบผลขาดทุนอาจทำให้เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ไม่ประสบผลสำเร็จ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น เงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น
      2. เป้าหมายทางการเงินระยะกลาง สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องน้อยกว่า เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น เนื่องจากระยะเวลาในการออมเงินเพื่อเป้าหมายนานยิ่งขึ้น และสามารถลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากขึ้น โดยสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ตามระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้ และหุ้น) กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น
      3. เป้าหมายทางการเงินระยะยาว สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินได้หลากหลายมากที่สุด เพราะไม่ต้องการสภาพคล่อง และมีระยะเวลาในการลงทุนที่นาน โดยการเลือกลงทุนสำหรับเป้าหมายทางการเงินนี้ หากนำสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาร่วมคำนึงจะทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้ และหุ้น) กองทุนรวมหุ้น กองทุนลดหย่อนภาษี (LTF/RMF) กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงประกันชีวิต 


ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนช่วยลดหย่อนภาษีดีกว่า


หลายคนคงกำลังสงสัยว่าระหว่างการทำประกันชีวิตกับซื้อ LTF ควรจะเลือกซื้ออะไรดีเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้ 

ประกันชีวิต

ในการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตนั้น เงินค่าเบี้ยของประกันชีวิตที่คุณจะนำมา ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะ มี 2 แบบ แบบแรกคือค่าเบี้ยประกันชีวิต และแบบที่สองคือค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สำหรับค่าเบี้ยประกันอื่น ๆ เช่น ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุนั้น ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งประกันชีวิตที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีทั้ง 2 แบบมีเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
ค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าประกันชีวิตต้องมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และเงินคืนต้องไม่เกินกว่าร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันที่จ่ายรายปี 
ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถหักลดหย่อนได้ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเท่านั้น และมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป  โดยผลประโยชน์ของเงินบำนาญจะจ่ายคืนเมื่อผู้มีเงินได้อายุ 55 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เงินค่าเบี้ยประกันบำนาญเมื่อนำไปรวมกับเงินสำรองเลี้ยงชีพ เงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน เงินลงทุนใน RMF และเงินออมในกองทุนการออมแห่งชาติแล้ว จะสามารถนำมาลดหย่อนไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ

LTF หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว

สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามจริง แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับที่จะต้องเสียภาษีในปีนั้น และต้องไม่เกิน 500,000 บาท และผู้มีเงินได้ต้องถือครองการลงทุน LTF ไว้นาน 7 ปีจึงจะขายได้ หากขายก่อนก็ไม่สามารถนำเงินมาหักลดหย่อนภาษีได้ค่ะ

หากจะลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนดีกว่า?

การซื้อประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์หลักคือเรื่องคุ้มครองความเสี่ยงและอาจมีแถมเรื่องของการสะสมทรัพย์เข้ามาด้วย ในขณะที่การซื้อ LTF นั้นมีวัตถุประสงค์หลักในเรื่องของการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว ก่อนอื่นคุณคงต้องมาดูว่าก่อนว่ารวัตถุประสงค์ในการลงทุนของคุณเป็นแบบไหน
ความเสี่ยงจากความผันผวน LTF เหมาะกับคนที่สามารถรับความผันผวนจากผลตอบแทนได้ เพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้นหากคุณเลือกซื้อ LTF จะต้องยอมรับว่าเงินต้นคุณมีสิทธิ์หายไปได้ ส่วนประกันชีวิตเหมาะกับคนที่ต้องการซื้อความคุ้มครองชีวิตหรือถ้าเป็นประกันแบบสะสมทรัพย์ ก็เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ไม่ชอบความผันผวน ไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่มากนัก และไม่ต้องการให้เงินต้นหายด้วย สามารถรอเวลาได้นานถึง 10 ปีขึ้นไป และไม่รีบใช้เงินครับ
สภาพคล่อง ถ้าหากคุณเลือกลดหย่อนด้วยการซื้อประกันชีวิต คุณต้องรอนานถึง 10 ปีขึ้นไป ถึงจะได้เงินทุนคืน แต่กรมธรรม์บางตัวก็มีเงินคืนระหว่างทาง เป็นกระแสเงินสดที่คุณนำมาใช้ได้ ส่วน LTF ระยะเวลาสั้นกว่า 7 ปีปฏิทินก็สามารถขายหน่วยลงทุนได้ ถ้าหากคุณเลือกซื้อ LTF ที่มีการจ่ายเงินปันผลด้วย ก็จะได้เงินปันผลในระหว่างทางมาใช้
ผลตอบแทน หากคุณซื้อประกันชีวิตคุณอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่มากนัก แต่สิ่งที่ได้ก็คือความคุ้มครองและการลดหย่อนภาษีที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุ้ม ส่วนถ้าคุณเลือก LTF นั้น คุณจะมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงมากกว่าประกันชีวิต แต่ในทางกลับกัน การซื้อ LTF ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน ส่วนประกันชีวิตนั้นถ้าไม่เวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบสัญญา อย่างไรก็ไม่ขาดทุนแน่นอน
พอร์ตการลงทุนของคุณ ก่อนที่คุณจะเลือกลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิตหรือ LTF คุณควรต้องหันมาดูพอร์ตการลงทุนของคุณด้วยว่า ในตอนนี้คุณมีประกันชีวิตอยู่เท่าไหร่แล้ว และมีการลงทุนใน LTF เท่าไหร่แล้ว จึงค่อยตัดสินใจว่าคุณจะซื้ออะไรดีในปีนี้ ถ้าคนที่ไม่เคยทำประกันชีวิตมาก่อนเลย ก็น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้ตัดสินใจทำประกันชีวิตไปพร้อมกับการได้ลดหย่อนภาษีด้วย เช่นเดียวกับคนที่ไม่เคยลงทุนใน LTF หรือในตลาดหุ้นเลย ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่ได้เริ่มต้นลงทุนด้วย LTF เพราะ LTF นั้นมีผู้จัดการกองทุนที่ช่วยบริหารพอร์ตลงทุนให้คุณด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลเกี่ยวกับ ประกันชีวิตและการลงทุนใน LTF คุณผู้อ่านสามารถตัดสินใจเลือกกันได้หรือยังว่าจะลดหย่อนภาษีแบบไหนดี อย่างไรก็ตาม คุณก็สามารถแบ่งเงินซื้อทั้ง 2อย่างเฉลี่ยกันไปได้ เพราะมันก็เป็นการกระจายความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง แถมยังลดหย่อนภาษีได้เหมือนเดิมด้วยครับ

4 ขั้นตอนวางแผนการเงินและเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม

          ด่านแรกของการวางแผนการเงิน  คือ           การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก ับการวางแผนบริหารรายร...