แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ fa แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ fa แสดงบทความทั้งหมด

ทุกคนมีเงินล้านได้ แค่เปลี่ยนรายจ่ายเล็กน้อย ให้เป็นเงินออม


ทุกคนมีเงินล้านได้ แค่เปลี่ยนรายจ่ายเล็กน้อย ให้เป็นเงินออม และนำไปลงทุน



ลดการตามใจ ให้รายจ่ายเล็กน้อยที่เป็นประจำ นำมาออมด้วยการลงทุน แล้วคุณจะภูมิใจที่ได้มีเงินล้านในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะ 10ปี 20ปี หรือ30ปี แต่มีแน่นอน



สมัครร่วมงานที่ปรึกษาการเงิน https://form.jotform.me/62262198232454

5 นิสัยการใช้เงิน คนจะจน vs คนจะรวย


จากหนังสือ START LATE FINISH RISH เริ่มต้นช้าใช่ว่าจะรวยไม่ได้ คุณเดวิด บาค แบ่งนิสัยการใช้เงินโดยใช้หลักการ รู้หา รู้ใช้ รู้ออม รู้ลงทุน มาบริหารจัดการ ซึ่งส่งผลต่อชะตาชีวิตเราว่าจะเป็นคนจน หรือ คนรวย


 เราจะทำการไล่ไปทีละนิสัยเพื่อให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และเข้าใจว่าทำไมนิสัยแต่ละแบบจึงกำหนด     ชะตาชีวิตของคุณแน่นอน และจะเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยกลยุทธ์อะไรดี
โดย 20 % เป็นเงินออม อีก 30 % นำไปลงทุน ในกองทุนหรือธุรกิจที่ให้ผลประโยชน์งอกเงยตามหลัก "ให้เงินทำงาน  เพื่อคุณ"

ใช้เงินเท่ากับที่หาได้ ทำไมถึงจน ? 
      นิสัยนี้ คนเข้าใจกันผิดมาก ๆ ว่า "ดีแล้วนี่  ไม่เห็นน่าเดือดร้อนเลย" ปัญหาคือ ถ้าคุณหาได้ 100 ก็ใช้ 100 คุณจะไม่มี
    เงินเก็บสำรองยามฉุกเฉินเลย ดังนั้นคุณควรเปลี่ยนตัวเองจากนิสัย "หา 100 ใช้ 100" ตั้งแต่วันนี้เลย ตามขั้นตอนนี้
    1 เริ่มลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
คนเราเข้าใจผิดมาตลอดว่า "ถ้าอยากรวยต้องหาเงินเพิ่ม" ผิด ผิด ผิด! ผิดหลักการบริหารเงินส่วนตัวทุกคนทุกครูอาจารย์
    ในโลก เพราะเรากำลังพึ่งพาอำนาจนอกตัวเรา คือคนที่จ้างงานเราแทนที่จะเริ่มต้นที่ตัวเองก่อนคือการตัดรายจ่าย ซึ่งได้ผลที่สุด  เร็วที่สุด ไม่ต้องรอใคร

    
2 ปลูกฝังนิสัย ได้เงินมาปั๊บ หัก 10 % เป็นเงินออมเลย    
เมื่อทำได้ครึ่งปีแล้วค่อยเพิ่มเป็น 15 และ 20 % ในที่สุด ห้ามเถลไถลกำเงินแล้ว "ขอซื้อของก่อนน่า" เด็ดขาด!
    3 นำเงินออมนั้นเข้าบัญชีแยกต่างหาก                  
เข้าบัญชีที่สามารถถอนเงินได้ไม่ต้องขอ ไม่ใช่เข้ากองทุนที่ ปีถึงมีสิทธิ์ถอน เพราะนี่คือเงินออมฉุกเฉิน ยังไม่ใช่
     เงินลงทุน และที่ต้องแยกบัญชีต่างหากเพราะเจ้าของเงินจะได้เห็นตัวเลขเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่ฝากเพิ่ม ทำให้เกิดกำลังใจ
     ผลักดันให้คุณรู้ว่าการสร้างนิสัยใหม่ให้ผลคุ้มค่าน่าชื่นใจอย่างนี้เอง ก็จะมีมานะอยากทำดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะเห็นสมุดบัญชีแล้วดีใจจัง แทนที่จะหวาดกลัวไม่กล้าอัพเดทบุ๊คเหมือนที่ผ่านมา
     4 ทุกครั้งที่หักเงินออมแล้วนำเข้าธนาคารจงชมเชยตัวเองเพื่อสร้างกำลังใจ
คนเรามักเข้าใจผิดว่า เมื่อทำอะไรสำเร็จต้องให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อของหรือปรนเปรอด้วยความหรู ความแพง

      ผิด! การให้รางวัลตัวเองที่ดีที่สุดคือการ "สร้างอนาคตที่ดี" ให้ตัวคุณ และเมื่อคุณกำลังสร้างอนาคตทีละขั้น ๆ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณเกิดพลังกายและใจ คือ
"หัดชมชยตัวเองทุกครั้งที่เราทำดี " การชมเชยตัวเองคือการให้พลังแก่จิตวิญญาณข้างใน
    ของคุณชนิดหาค่ามิได้ มันบอกนิสัยรักตัวเองอย่างชัดเจนเลย และคนรักตัวเองจริง ๆ ก็จะมุ่งมั่นสร้างสรรค์แต่สิ่งดี ๆ สู่ชีวิตและยอมขจัดหรือโละสิ่งอันไม่พึงปรารถนาหรือบั่นทอนชีวิตออกไปอย่างไม่ลังเล ที่สำคัญ การชมเชยตัวเองจะช่วยย้ำจิตคุณว่าคุณทำสิ่งที่ดีงามแล้ว จิตก็จะอยากทำดีต่อไปและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
     5 อย่านำเงินออมนี้ไปให้รางวัลตัวเองด้วยของฟุ่มเฟือยเด็ดขาด
เพราะหลายคนพอเห็นเงินออมเริ่มเติบโตขึ้น จะถอนไปเล่นแชร์ เล่นหุ้น ซื้อของแพง ๆ ที่อยากได้ ไม่ใช่ ผิดวัตถุ

     ประสงค์ เงินออมนี้ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ตกงานกระทันหัน ที่บ้านป่วย รถเสียต้องซ่อม ยกเครื่อง ฯลฯ
     กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณเปลี่ยนจากความเชื่อแบบ "ใช้เงินพอดีกับรายได้ ไม่เห็นเดือดร้อน" มาเป็น  คนที่เห็นคุณค่าของการออมเงิน ต้องอาศัยการชมเชยตัวเองบวกกับวินัย

ออมแบบ “การันตี” เพื่อการเกษียณกันดีกว่า


เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดในการออมเงินคือออมให้ชนะเงินเฟ้อ เพราะการถือเงินสดไว้เฉยๆ สุดท้ายมูลค่าเงินก็จะถูกเงินเฟ้อค่อยกัดกินไปเรื่อง ดังนั้นโดยคร่าวๆเราต้องการสร้างผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวให้ได้มากกว่า 3.5-5% ต่อปี ดังนั้นออมแบบปลอดภัยอย่างเดียวไม่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายแน่นอน ต้องมีการผสมผสานกันกับพอร์ตที่เป็นตราสารทุนด้วยเพื่อให้ผลตอบแทนเติบโต แต่ยังไงในพอร์ตของการออมก็จำเป็นต้องมีการออมที่เป็นการการันตีผลตอบแทนอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะคำว่า “การันตี” ก็ทำให้เรารู้ว่าถึงแม้วันที่แย่ที่สุด พอร์ตที่การันตีก็เป็นเหมือนปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเราได้
หากพูดถึงการออมหรือการลงทุนที่เป็นแบบการันตี หรือความเสี่ยงต่ำ หลายคนมักจะนึกถึงเงินฝากธนาคารเป็นหลัก แต่ความจริงแล้ว การออมแบบความเสี่ยงต่ำยังมีเครื่องมืออยู่อีกหลายตัวที่ช่วยเราได้ ซึ่งแต่ละตัวก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไปครับ
ตราสารหนี้หรือกองทุนตราสารหนี้ ตราสารหนี้ การลงทุนด้วยวิธีนี้เป็นสิ่งที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด และเป็นการลงทุนที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอในรูปแบบของดอกเบี้ย ปกติหากพูดถึงตราสารหนี้ คนที่เกี่ยวข้องมักจะเป็นสถาบันการเงินต่างๆที่เข้าไปทำการถือตราสารหนี้ เพราะตลาดตราสารหนี้เป็นตลาดที่ซื้อขายกันในวงเงินที่สูง ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีสถาบันการเงินสร้งผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่ากองทุนตราสารหนี้ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการออมทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อย ด้วยการเป็นผู้จัดการลงทุนให้กับเจ้าของเงินในตราสารหนี้ต่างๆ รูปแบบการรับผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้มีทั้งสองแบบคือแบบมีกระแสเงินสดจากเงินปันผลของกองทุน นึกภาพง่ายๆว่ากองทุนลงทุนในตราสารหนี้เมื่อตราสารหนี้ได้รับดอกเบี้ยมา กองทุนก็นำเงินที่ได้รับมาปันผลต่อให้กับผู้ถือหน่วย แต่หากเป็นกองทุนแบบที่ไม่ได้ปันผล เวลาที่ได้รับดอกเบี้ยมา ก็จะทำให้กองทุนมีมูลค่า NAV สูงขึ้นเรื่อยๆ เราก็ขายคืนกองทุนนี้แล้วก็จะได้เงินต้นรวมกับผลตอบแทนออกมาครับ
อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ พูดถึงการลงทุนแบบนี้ ถือว่าเป็นยอดปรารถนาของนักลงทุนหลายๆคนครับ เพราะว่าในระยะยาว อสังหาริมทรัพย์ล้วนมีแต่ราคาขึ้นเรื่อยๆ แถมการปล่อยให้เช่าก็เป็นการสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอน คล้ายๆกับการรับดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน แถมยังสามารถขึ้นค่าเช่าได้ด้วยเมื่อเวลาผ่านไป แต่การลงทุนแบบนี้มีข้อหนึ่งที่ต้องระวังก็คืออสังหาฯมักจะต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งมักตามมาด้วยการก่อหนี้ และต้องมีดอกเบี้ยเกิดขึ้นแน่นอน การลงทุนในแบบนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนค่อนข้างมาก หากผิดพลาดไปจะแก้ไขก็ไม่ง่าย เพราะว่าการจะขายต่อก็มีข้อจำกัดเรื่องของสภาพคล่อง รวมถึงค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนมือเจ้าของด้วย บางคนที่เห็นความยุ่งยากนี้ก็อาจจะมีทางเลือกอีกทางหนึ่งคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้ ซึ่งมีผู้จัดการทุกอย่างให้เสร็จ เพียงแค่จ่ายเงินลงทุน แล้วก็รอรับเงินปันผลจากกองทุนได้เลยครับ
เครื่องมือสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในคราวนี้ก็คือ ประกันสะสมทรัพย์หรือบำนาญ การออมในรูปแบบนี้แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนเท่ากันหรืออาจจะต่ำกว่าในสองรูปแบบข้างต้น แต่ก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะว่าการออมผ่านประกันสะสมทรัพย์ เป็นเพียงสินค้าทางการเงินไม่กี่แบบที่ “การันตี” ผลตอบแทนการออม ไม่ว่าสภาวะผลตอบแทนอื่นๆจะเป็นเท่าไหร่ แต่ประกันสะสมทรัพย์ให้เราตามสัญญาไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังมีโอกาสได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีด้วย ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยแล้วอาจจะสูงได้ถึง 4-6% ต่อปีเลยทีเดียว และที่สำคัญที่สุดคือการทำประกันแบบสะสมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่แปรเป็นเงินสดได้เร็วที่สุดยามเจ้าของจากไป เมื่อเทียบกับสองข้อข้างต้นที่ต้องเข้ากระบวนการจัดสรรมรดกให้แก่ทายาทซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีเลยทีเดียว แต่ประกันนั้นสามารถจ่ายเงินสินไหมให้กับทายาทหรือผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ได้โดยทันที
ถ้าถามว่าการออมการลงทุนทั้งสามแบบ แบบไหนดีที่สุด บอกแบบพระเอกได้เลยครับว่าไม่สามารถฟันธงได้ครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าชอบแนวไหนมากกว่ากัน แต่ความเห็นผมเห็นว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนที่ดีที่สุดในตัวเองได้สมบูรณ์ครับ แผนการเงินที่ดีต้องมีองค์ประกอบหลายๆส่วนมาร่วมด้วยช่วยกันครับ เหมือนกับทีมฟุตบอลที่ต้องมีหลากหลายหน้าที่ผสมผสานกันไป เราจึงจะได้พอร์ตการออมการลงทุนที่สามารถสร้างประโยชน์ไปพร้อมกับผลตอบแทนได้ทุกๆสถานการณ์ครับ

“อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน – Don’t put all your eggs in one basket”



เมื่อปลายสัปดาห์เป็นอีกครั้งที่เราได้เรียนรู้จากตลาดหุ้นไทยในเรื่องหลักของการกระจายความเสี่ยง หรือที่เรียกกันว่า "Diversification" ซึ่งเป็นหลักการลงทุนเบื้องต้นที่นักลงทุนทุกคนคงจะเคยได้ยินได้รู้จักในการลงทุน เพราะถ้าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน หากตะกร้านั้นเป็นอะไรไป ไข่ก็จะเสียหายทั้งหมด โดยเปรียบไข่เป็นเงินลงทุนของเรา การกระจายด้วยการนำไข่ไปใส่ในหลายๆ ตะกร้า ก็เปรียบเสมือนกับการนำเงินลงทุนกระจายไปในการลงทุนหลายรูปแบบ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ เงินฝาก ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันกับตะกร้าใบใดใบหนึ่ง อย่างน้อย เราก็ยังมีตะกร้าใบอื่นๆ เหลืออยู่

สินทรัพย์ทางการเงินทุกอย่างมีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนของผลตอบแทนเกิดขึ้นเสมอ การกระจายความเสี่ยงอาจลดอัตราผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนก็จริงๆ แต่สิ่งที่ลดลงด้วยก็คือ ความเสี่ยง

เราสามารถกระจายความเสี่ยงได้ในหลายระดับ เช่น

• การกระจายการลงทุนภายในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน เช่น ผู้ลงทุนในหุ้นรายตัว อาจจะกระจายความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในหุ้นแต่ละอุตสาหกรรม หากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเกิดมีปัญหา ผู้ลงทุนจะไม่ได้ผลกระทบมากนัก เพราะยังเหลืออุตสาหกรรมอื่นที่ยังดีอยู่ หรือผู้ลงทุนในตราสารหนี้ ก็อาจจะมีการกระจายการถือตราสารหนี้หลายฉบับระหว่างผู้ออกตราสารภาครัฐกับภาคเอกชน

• การกระจายระหว่างประเภทสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่าการทำ “Asset Allocation” คือ ผู้ลงทุนอาจกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน หรือคนละประเภทสินทรัพย์ เช่น เงินสด ตราสารหนี้ ตราสารทุน อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ น้ำมัน เป็นต้น

• การกระจายข้ามประเทศ (Country Allocation หรือ International Diversification) คือ ผู้ลงทุนอาจกระจายเงินลงทุนไปยังตลาดประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ตลาดประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets) หรือทั่วโลก (Global) เพราะในบางครั้งประเทศไทยแย่ หรือประเทศโซนเอเชียแย่ แต่ยังมีประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือภูมิภาคอื่นที่ยังมีการเติบโตให้เลือกลงทุนอยู่

จากตลาดหุ้นไทยเมื่อปลายสัปดาห์ เราจะเห็นได้ว่าการกระจายการลงทุนภายในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน หรือการกระจายระหว่างประเภทสินทรัพย์คงไม่เพียงพอ เราจำเป็นที่จะต้องมีการกระจายการลงทุนข้ามประเทศด้วย อย่างเช่น แทนที่จะลงทุนในหุ้นประเทศเดียว ก็กระจายไปลงทุนในหุ้นของประเทศอื่นๆ ด้วย โดยในระหว่างเส้นทางการลงทุน หากหุ้นของแต่ละประเทศ เคลื่อนไหวแตกต่างกันบ้าง ก็จะได้ประโยชน์จากการกระจายการลงทุน

เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศก็เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดภายในประเทศครับ เช่น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทาง สังคม การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมายหรือข้อบังคับต่างๆ รวมถึงข้อจำกัดในการลงทุนภายในประเทศนั้นๆ เช่น ข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินข้อจำกัดเกี่ยวกับการลงทุนจากต่างชาติ และการแทรกแซงของหน่วยงานรัฐ เป็นต้น

ตัวอย่าง
ในปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ตลาดหุ้นไทยร่วงลง 50% ในขณะที่ปีเดียวกันนั้นตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 33 %ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นของประเทศในกลุ่มยูโรปรับตัวเพิ่มขึ้น 36.8% ในสกุลเงินยูโร ดังนั้นหากในปี 2540 นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนในยังต่างประเทศได้ก็จะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงเงินลงทุนทั้งหมดในประเทศไทย

หรือในกรณีเหตุการณ์วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่ตลาดหุ้นไทยตกลงวันเดียวเกิน 10% จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการสำรอง 30% ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนของประเทศอื่นๆ เลย

ซึ่งจะเห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าวการกระจายการลงทุนในบริษัทต่างๆ หลายบริษัทหรือหลายกลุ่มอุตสาหกรรมภายในประเทศไม่สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายในประเทศได้ การกระจายการลงทุนไปในหลายประเทศเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการที่จะลดความเสี่ยงภายในประเทศได้ เนื่องจากในขณะที่เรากำลังประสบปัญหาภายใน ซึ่งประเทศอื่นๆไม่ได้ประสบปัญหาดังกล่าวด้วย

การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ระหว่างประเทศเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า เนื่องจากขนาดของตลาดการเงินไทยที่เมื่อเทียบกับตลาดโลกแล้ว ยังนับว่ามีขนาดเล็ก และมูลค่าการซื้อขายที่ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับหลายๆตลาดหลักทั่วโลก

ในปัจจุบัน ตลาดการลงทุนเปิดเสรีมากขึ้น การลงทุนในต่างประเทศทำได้สะดวกขึ้นมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม เราสามารถเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยจำนวนเงินที่ต่ำกว่ายุคก่อน ไม่ว่าจะผ่านช่องทางกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ที่มีการไปลงทุนต่างประเทศ หรือกองทุนรวมที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกที หรือที่เรียกกันว่า “Feeder Fund”

หรือตัวอย่างในรูป ก็เป็นตัวอย่างพอร์ตการเกษียณระยะยาวที่ใช้เครื่องมือในการลงทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้ง LTF และ RMF ก็จะแนะนำให้มีการแบ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นต่างประเทศ เช่นกัน

[สรุป] การกระจายความเสี่ยงที่ดี ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นต้องเพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการลงทุนด้วย การกระจายมั่วๆ โดยที่ไม่สนใจผลตอบแทนเลย ยังถือว่ากระจายความเสี่ยงได้ไม่ดีพอ

4 ขั้นตอนวางแผนการเงินและเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม

          ด่านแรกของการวางแผนการเงิน  คือ           การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก ับการวางแผนบริหารรายร...