แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ LTF แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ LTF แสดงบทความทั้งหมด

ทุกคนมีเงินล้านได้ แค่เปลี่ยนรายจ่ายเล็กน้อย ให้เป็นเงินออม


ทุกคนมีเงินล้านได้ แค่เปลี่ยนรายจ่ายเล็กน้อย ให้เป็นเงินออม และนำไปลงทุน



ลดการตามใจ ให้รายจ่ายเล็กน้อยที่เป็นประจำ นำมาออมด้วยการลงทุน แล้วคุณจะภูมิใจที่ได้มีเงินล้านในวันข้างหน้า ไม่ว่าจะ 10ปี 20ปี หรือ30ปี แต่มีแน่นอน



สมัครร่วมงานที่ปรึกษาการเงิน https://form.jotform.me/62262198232454

“วงจรชีวิตกับการเงิน”

สนใจวางแผนการเงิน คลิกเลยครับ

“วงจรชีวิตกับการเงิน”
สิ่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นและเหตุผลที่ทุกๆคนควร “วางแผนการเงิน”
คุณ Sanjay Tolini ที่ปรึกษาการเงินชื่อดัง เขาอธิบายเรื่องวงจรชีวิตของคนได้อย่างเรียบง่ายและน่าสนใจ
ถ้าดูจากในภาพจะเห็นว่า “วงจรชีวิตกับการเงิน” แบ่งเป็น 4 ช่วง คือ
ช่างที่ 1 : อายุ 0 – 20 ปี ช่วงเวลาของการเรียนรู้และเล่นในวัยเด็ก
ค่าใช้จ่ายทุกอย่างพ่อแม่เป็นคนดูแล
ช่วงที่ 2 : อายุ 20 – 40 ปี ช่วงเวลาเริ่มต้นการทำงานครั้งแรก
ซื้อรถคันแรก บ้านหลังแรก แต่งงาน มีลูก
ช่วงที่ 3 : อายุ 40 – 60 ปี มีการเติบโตในหน้าที่การงาน ย้ายงาน
ซื้อรถคันใหม่ บ้านหลังใหม่ ส่งลูกเรียน ดูแลครอบครัว
ช่วงที่ 4 : อายุ 60 – 80 ปี ช่วงเกษียณจากการทำงาน
ถึงเวลาของการพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต
ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าครึ่งวงกลมด้านบนวัยเด็กและวัยเกษียณเป็นช่วงที่เรา “ไม่มีรายได้” แต่มี “ค่าใช้จ่าย”
ตอนเด็กยังมีพ่อแม่คอยดูแลค่าใช้จ่ายให้ แต่ตอนเกษียณใครจะมาดูแล ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดี
สมมติตอนนี้อายุ 25 คิดว่าจะทำงานถึงอายุ 60 เราจะมีระยะเวลาทำงานหารายได้ 60 – 25 = 35 ปี
ใน 35 ปีนี้เป็นช่วงที่ท้าทายมากๆ เพราะ เป็นช่วงที่มีค่าใช้จ่ายต่างๆเข้ามาทั้งค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น รถ บ้าน แต่งงาน มีลูก และค่าใช่จ่ายที่ไม่จำเป็นอีกมากมาย
แต่มีกฎธรรมชาติ 4 อย่างที่ทุกคนต้องเจอ คือ
โรคภัย
อุบัติภัย
จากไป
อยู่นานเกินไป
ทั้ง 4 อย่างนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีค่าใช้จ่ายตามมา
สิ่งสำคัญคือเมื่อเรารู้แล้วจะวางแผนรับมือกับมันอย่างไร?
เราคงไม่สามารถย้อนเวลากลับไปวางแผนตั้งแต่เกิดได้แต่เราเริ่มต้นวันนี้ได้
ใช้เวลา 35 ปีที่เหลือวางแผนให้ดี เริ่มต้นได้แล้ว เพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวที่เหลืออยู่
ใครมีเวลาต้องเริ่มศึกษาและลงมือทำ
ใครไม่มีเวลายิ่งต้องแบ่งเวลามาศึกษาและลงมือทำ
เมื่อเวลาผ่านไปจะได้ไม่ต้องมาบอกกับตัวเองว่า
“รู้งี้….”

วางแผนการเงินตามความฝันและความต้องการในแต่ละช่วงว้ย



สนใจวางแผนการเงินการประกันภัย
ความต้องการในชีวิตมีด้วยกันหลายรูปแบบ และในความต้องการที่หลากหลายนั้น ก็ยังสามารถที่จะเตรียมการ และวางแผนก่อนที่เวลานั้นจะมาถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการ ที่จะมีเงินออม เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เช่น การออมเพื่อการเกษียณ การออมเพื่อหวังผลตอบแทน การออมเพื่อสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เป็นต้น
โดยช่วงวัยของคนเราจะแปรผันไปตามอายุที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นภาระความรับผิดชอบทางการเงิน เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ที่พ่อแม่เป็นคนดูแลค่าใช้จ่าให้เป็นหลัก แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงวัยเด็ก ก็ต้องดูแลภาระค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง จากนั้นเมื่อเริ่มต้นมีครอบครัว ก็ต้องดูแลครอบครัว เมื่อมีลูก ก็ต้องเตรียมเงินออมไว้เพื่อการศึกษาของลูก รวมถึงการวางแผนเตรียมการสำหรับการใช้ชีวิตในบั้นปลาย
การค้นหาความต้องการที่แท้จริงของแต่ละคน ในแต่ละช่วงวัยที่เกิดขึ้น จะมีส่วนสำคัญ ให้สามารถวางแผนทางการเงินได้เป็นอย่างดี เพราะจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการ และเป้าหมายได้ว่า ต้องการแบบประกันที่เน้นความคุ้มครองชีวิต เพื่อสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว หรือการประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุส่วนบุคคล เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน หากต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาล
วัยเด็กและวัยรุ่น (อายุประมาณ 0-20 ปี)
ุ วัยเด็กและวัยรุ่น เป็นวัยแห่งความบริสุทธิ์และความน่ารัก วัยนี้พัฒนามาจากวัยทารก เด็กเริ่มรู้จักและสนใจบุคคล สิ่งแวดล้อม สิ่งของ สามารถใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้หลากหลาย ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งความสามารถดังกล่าวกระตุ้นให้เด็กต้องการแสดงความสามารถที่มีอยู่ วัยนี้จึงมีลักษณะเด่นคือชอบแสดงความสามารถ ชอบอาสาช่วยเหลือ ช่างประจบ ซุกซน อยากรู้อยากเห็น มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบปฏิเสธ ค่อนข้างดื้อ ต้องการมีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง เริ่มรู้จักพึ่งพาตนเอง และไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การทำกิจกรรม การเรียนรู้เหตุผล สิ่งใดผิดถูก การเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง นอกจากนี้เด็กจะแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนจากการพูดคุย การแสดงออก ความเฉลียวฉลาด ซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์ของเด็กแต่ละคนด้วย
ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มีความซุกซน อยากรู้อยากเห็น
ต้องการความรัก ความเอาใจใส่ดูแลจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง
ต้องมีการพัฒนาการที่ดี ทั้งในเรื่องของการศึกษา และทางด้านจิตใจและอารมณ์
ความฝันและความต้องการทางการเงิน
มีเงินออมไว้เพื่อใช้เกี่ยวกับการศึกษาในอนาคต
มีความคุ้มครองทางด้านรายได้ ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง หากมิเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ต้องการความคุ้มครองในเรื่องของอุบัติเหตุ และสุขภาพ
ข้อแนะนำช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น
แผนการออมเงินเพื่อการศึกษา
จะต้องเลือกวิธีการเก็บออม ที่สามารถสร้างความมั่นใจได้ว่า จะได้รับการศึกษาตามที่ต้องการได้ เพราะหลายๆเรื่องในชีวิต เราสามารถที่จะเลือกเสี่ยงได้ แต่เรื่องอนาคตทางการศึกษาของบุตร เราไม่ควรเสี่ยง
แผนการคุ้มครองอุบัติเหตุและสุขภาพ
เนื่องจากวันเด็ก เป็นวัยแห่งการเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น เป็นวัยที่ยังมีภาวะภูมิต้านทางเชื้อโรคที่ค่อนข้างน้อยกว่าวัยผู้ใหญ่ ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ หรือโรคภัยไข้เจ็บย่อมมีมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของเด็ก โดยเฉพาะเด็กวัยที่อายุไม่เกิน 6 ปี จะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูงมากๆ ซึ่งอาจกระทบถึงแผนการออมอื่นๆได้ด้วย

วัยเริ่มต้นทำงาน (อายุประมาณ 20-30 ปี)
เป็นช่วงที่มีความสุขกับการเริ่มมีอิสระ มีการงานและรายได้เป็นของตนเอง วัยเริ่มต้นทำงานมักชอบการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ค้นหาสิ่งที่อยากทำตามความฝันของตนเอง
มองโลกและอนาคตในเชิงบวก
มีพลังที่จะสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงาน
มองหาโอกาสและวางแผนการศึกษาต่อ
เริ่มมีความคิดอยากมีทรัพย์สิน ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สักคัน หรือบ้านสักหลัง
ความฝันและความต้องการทางการเงิน
มีเงินออมไว้เพื่อใช้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในอนาคต
มีความคุ้มครองทางด้านรายได้ เมื่อยามที่ต้องหยุดพักรักษาตัว หรือทุพพลภาพ
ไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่าย เมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
มีรายได้ต่อเนื่อง หลังการเกษียณอายุ
บิดา-มารดา ต้องมีชีวิตอยู่อย่างสบาย เมื่อต้องจากไปด้วยเหตุอันไม่คาดฝัน
ข้อแนะนำช่วงอายุเริ่มต้นทำงาน
แผนการออมเงินเพื่ออนาคต
จะต้องเลือกวิธีการเก็บออม ที่เป็นการเก็บออมระยะยาว เพื่อความมั่นคง และความมั่นใจในอนาคต การเก็บออมด้วยการประกันชีวิต จะช่วยแบ่งเบาความเสี่ยง ช่วยคุ้มครองเงินออมให้งอกเงยเพิ่มขึ้นตามที่หวังไว้
เงินออมไม่ใช่เงินที่เหลือเก็บ แต่ให้คิดไว้เสมอว่า เงินออมคือค่าใช้จ่าย เหมือนค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนรถ ที่ต้องจ่าย เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับเงิน ให้เก็บไว้ทันที
แผนการออมเงินไว้ยามฉุกเฉิน
เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พรุ่งนี้อาจไม่สบาย ป่วยหนักถึงต้องนอนพักในโรงพยาบาล มีค่ารักษาที่สูงมาก ถ้าเราไม่มีเงินจำนวนหนึ่งสำรองไว้ ชีวิตจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่ปัญหานี้จะลดลงได้ถ้ามีเงินออมส่วนนี้เก็บไว้
วัยเริ่มต้นชีวิตคู่ (อายุประมาณ 25-35 ปี)
เป็นช่วงที่มีความสุขกับการมีคู่ชีวิต มีเพื่อร่วทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน ผู้หญิงจะมีความสุข สนุกสนานกับการให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า ในขณะที่ผู้ชาย ก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตคู่ วัยเริ่มต้นชีวิตคถึงแม้บางครั้งยังมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ต่างจากวัยโสดมากนัก
เริ่มต้นสร้างฐานะครอบครัว
ต้องการที่จะมีบ้านหรือที่อยู่อาศัย สำหรับการเริ่มต้นชีวิตครอบครัว
เริ่มแสวงหาความก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากขึ้น หรืออยากเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว
มองหาแหล่งออมเงิน หรือสร้างรายได้เพื่อเตรียมเงินสำหรับการมีบุตร หรือขยายครอบครัวในอนาคต
ความฝันและความต้องการทางการเงิน
สร้างความมั่นคงทางด้านรายได้ให้กับครอบครัว
มีรายได้ไว้ใช้จ่ายภายในครอบครัว เมื่อยามที่ต้องหยุดพักรักษาตัว หรือทุพพลภาพ
ไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่
มีเงินออมเพื่อใช้จ่ายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการมีบุตร การขยายครอบครัว หรือการเกษียณอายุ
ครอบครัวจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างสบาย เมื่อคุณต้องจากไปด้วยเหตุอันไม่คาดฝัน
ข้อแนะนำช่วงอายุเริ่มต้นชีวิตคู่
วางแผนทางการเงินด้วยการทำประกันคุ้มครองรายได้ เพื่อคุณครอบครัว ในอนาคต 
การชำระเบี้ยประกันที่เหมาะสม ของผู้เอาประกันคือ ประมาณ 10% ของรายได้ต่อปี และทุนประกันที่จะคุ้มครอง ต้องพิจารณาจากภาระค่าใช้จ่าย และหนี้สินต่างๆที่ต้องรับผิดขอบ
วัยสร้างครอบครัวและมีบุตร (อายุประมาณ 31-45 ปี)
เป็นช่วงที่มีความสุขกับการมีครอบครัวที่อบอุ่น ทำกิจกรรมกับคนที่คุณรัก เฝ้าดูลูกน้อยที่เติบโตขึ้นทุกวัน และมักให้ความสำคัญกับลูกๆเป็นหลัก เช่น การทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน การเรียนพิเศษ การท่องเที่ยว แต่ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มตระหนักถึงภาระต่างๆอย่างจริงจัง และจะเริ่มคิดถึงเรื่องเหล่อนี้เสมอ
การมีภาระความรับผิดชอบทางด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในครอบครัว
เริ่มมองหาอาชีพ หรือกิจกรรมเสริม เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นของครอบครัว
มองหารูปแบบการสร้างความมั่งคั่ง เพื่อรองรับอนาคตของครอบครัว
ความฝันและความต้องการทางการเงิน
มีเงินก้อน สำหรับอนาคตการศึกษาบุตรวัยสร้างครอบครัวและมีบุตร
ไม่ต้องกังวลเรื่องภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว
สามารถบริหารจัดการด้านการเงินในปัจจุบัน และเงินออมในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อการเกษียณอายุ และการวางแผนด้านทรัพย์สินมรดก
มีช่องทางในการบริหารภาษี และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ
ครอบครัวจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างสบาย เมื่อคุณต้องจากไปด้วยเหตุอันไม่คาดฝัน
ข้อแนะนำช่วงอายุเริ่มต้นทำงาน
ช่วงชีวิตคู่และการสร้างครอบครัว และสร้างความมั่งคั่ง ให้ทบทวนโดยการตรวจสอบแผนการเงินที่ทำไว้เดิม ว่าเพียงพอหรือไม่ หรือจะต้องทำเพิ่มเติมอย่างไร และการวางแผนด้านการศึกษาในอนาคตของลูกๆ
วัยสร้างความมั่นคง (อายุประมาณ 40-60 ปี)
เป็นช่วงที่มีความสุขและความภาคภูมใจ ที่ได้เห็นบุคคลในครอบครัวประสบความสำเร็จ มีเป้าหมายที่ชัดเจน ในการที่จะให้การศึกษาขั้นสูงแก่บุตร เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงและมั่นคง ให้กับลูกๆ วัยสร้างความมั่นคงซึ่งมักจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้เสมอ
ลูกๆเริ่มแยกตัวไปอยู่อิสระ หรือไปสร้างครอบครัวใหม่
เริ่มมีอิสรภาพทางการเงินมากขึ้น และเริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับภาระต่างๆ เมื่อลูกๆใกล้จบการศึกษา
ต้องการสะสมเงินทุนไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือสำหรับการท่องเที่ยว
ความฝันและความต้องการทางการเงิน
สามารถบริหารจัดการด้านภาษี และวางแผนรองรับความเสี่ยงของธุรกิจ เพื่อให้สืบทอดสู่ทายาทได้
มีเงินออมเพื่อไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ และเป็นกองทุนมรดกให้กับลูกหลาน
มีแหล่งที่มาของรายได้จากการลงทุน ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพ
ครอบครัวจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างสบาย เมื่อคุณต้องจากไปด้วยเหตุอันไม่คาดฝัน
ข้อแนะนำช่วงอายุเริ่มต้นทำงาน
การวางแผนประกันชีวิต สำหรับชีวิตในอนาคตหลังเกษียณอายุอย่างรอบคอบ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่า อายุหลังเกษียณอาจยาวนานกว่าระยะเวลาที่เก็บออมก่อนเกษียณ
วัยหลังเกษียณ (อายุประมาณ 55-70 ปี)
เป็นช่วงวัยที่เริ่มปล่อยวางกับธุรกิจ หรือการงานที่ทำอยู่ และกลับมีความสุขกับการได้ทำกิจกรรมต่างๆ กับครอบครัว ซึ่งอาจเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีทั้งลูกและหลานๆแล้ว และเตรียมการใช้ชีวิตในวัยหลังเกษียณจากเงินออมหรือเงินบำนาญ หรืออาจมีรายได้จากการทำธุรกิจอยู่ แต่สิ่งที่ต้องเผชิญคือ
อาจต้องกลับมาใช้ชีวิตคนเดียว ด้วยสาเหตุแห่งการเสียชีวิตของคู่สมรส หรือการหย่าร้าง
อาจยังต้องทำงานอยู่ เพื่อเก็บออมเงินให้มากขึ้น สำหรับเป็นมรดกให้กับลูกหลาน หรือไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วย
ยังได้รับเงินบำนาญทุกเดือน แต่เงินไม่พอกับค่าใช้จ่าย จึงต้องระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นวัยหลังเกษียณ
ความฝันและความต้องการทางการเงิน
มีชีวิตสนุกกับการท่องเที่ยวหลังเกษียณอายุ หรือทำกิจกรรมกับหลานๆ โดยไม่ต้องกังวลกับภาระค่าใช้จ่าย
ยังมีรายได้ประจำอย่างต่อเนื่องหลังเกษียณ และใช้ชีวิตกับการนั่งบริหารพอร์ตการลงทุน อยู่กับบ้านอย่างสบายใจ
สามารถบริหารจัดการทางการเงิน เพื่อเป็นมรดกให้กับลูกหลาน
คนที่อยู่ข้างหลังจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างสบาย เมื่อคุณต้องจากไปด้วยเหตุอันไม่คาดฝัน
ข้อแนะนำช่วงอายุหลังเกษียณ
ทำประกันชีวิต และซื้อความคุ้มครองสุขภาพและโรคร้ายแรง เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ลูกหลาน และเพื่อความสุขกับวัยเกษียณอย่างเต็มที่ ด้วยการท่องเที่ยว พักผ่อน เฝ้าดูความสำเร็จของลูกหลาน 
สุขภาพมีเพียงหนึ่งเดียว ที่จะต้องดูแลให้ดีที่สุด ค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพของทุกคนในครอบครัว คืออุปสรรคของการออมเงิน อย่าให้การเจ็บป่วยเพียงครั้งเดียว ต้องทำให้เงินออมที่สะสมมาทั้งชีวิตต้องหมดไป
เลือกแบบประกันชีวิตที่ตรงกับความต้องการ
เพื่อการเก็บออม เป็นการเก็บออมเงินที่ให้ผลประโยชน์ที่คุ้มค่าสูงสุด ที่สามารถมั่นใจได้ว่า จะมีเงินเก็บไว้ใช้สำหรับอนาคตของคุณและครอบครัวอย่างแน่นอน
เพื่อความคุ้มครองชีวิต เหมาะสมกับผู้ที่มีภาระความรับผิดชอบ ไม่อยากให้คนข้างหลังต้องลำบาก สร้างหลักประกันชีวิตไว้ให้กับคนที่คุณรัก
เพื่อเป็นทุนการศึกษา สร้างความมั่นใจว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ที่ไม่คาดคิดในวันข้างหน้า ลูกหลานก็จะได้ศึกษาเล่าเรียนสำเร็จจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
เพื่อคุ้มครองสุขภาพ ประกันสุขภาพจะช่วยแบ่งเบาภารค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล เช่นค่ารักษา ค่าผ่าตัด รวมทั้งมีค่าชดเชยที่ไม่สามารถทำงานได้อีกด้วย
เพื่อความคุ้มครองอุบัติเหตุ อุบัติเหตุคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด การประกันอุบัติเหตุเป็นหลักประกัน เพื่อให้ความอุ่นใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บริษัทประกันจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ตามความคุ้มครองที่ทำไว้

สนใจวางแผนการเงิน คลิก 


กำหนดเป้าหมายทางการเงินก่อน แล้วค่อยหาที่อยู่ของเงินให้เหมาะสม



แนวความคิดการวางแผนด้านการเงิน
ต้องมีเป้าหมายชีวิต แล้วมากำหนดเป้าหมายทางการเงินให้สอดคล้องกัน

 “ เป้าหมายทางการเงิน “ เป็นสิ่งที่ทุกคนวาดฝันไว้ เช่น อยากมีบ้านหลังโตๆ อยากได้รถ อยากมีเงินใช้เยอะๆ หลังเกษียณอายุ เป็นต้น ซึ่งหลายๆ คนสามารถทำตามฝันที่วางไว้ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย บางคนต้องใช้ความพยายามอย่างมากจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้  หรือบางคนสามารถทำตามความตั้งใจไว้ได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นคือ เป้าหมายทางการเงิน การวางแผนทางการเงินเป็นตัวช่วยที่ทำให้เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น ดังนั้น เรามาเรียนรู้ถึงวิธีที่จะช่วยให้การวางแผนการเงิน เพื่อให้เป้าหมายทางการเงินประสบความสำเร็จได้

กำหนดเป้าหมายทางการเงิน

 ดั่งสำนวนที่ว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” สำหรับการตั้งเป้าหมายทางการเงิน หากมีการตั้งเป้าหมายที่ดี และเหมาะสมแล้ว ความเป็นไปได้ที่เป้าหมายทางการเงินนั้นจะประสบผลสำเร็จก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินความสามารถ ลักษณะของเป้าหมายทางการเงินที่ดีนั้น ประกอบไปด้วย 5 ปัจจัย หรือที่เราเรียกกันว่าการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ดีตามหลัก SMART ได้แก่
      - S pecific : ชัดเจน ว่าต้องการอะไร
      - M easurable : วัดผลได้ เพื่อให้รู้ว่าเป้าหมายใกล้สำเร็จหรือไม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบตัวเงิน 
      - A ccountable : รู้ถึงแนวทางว่าทำอย่างไร เพื่อให้เป้าหมายนี้สำเร็จได้
      - R ealistic : เป้าหมายควรท้าทาย แต่สามารถทำได้จริง
      - T ime Bound : มีระยะเวลากำหนดแน่นอนว่า ต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะสำเร็จผลได้

      ตัวอย่าง เป้าหมายทางการเงินที่ดี คือ นายมั่งมี ต้องการมีเงินเก็บ จำนวน 1 ล้านบาท โดยตั้งใจจะออมเงินจำนวน 16,700 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เป็นต้น

      เป้าหมายทางการเงิน สามารถแบ่งแบบง่ายๆ ตามระยะเวลาได้ 3 แบบ คือ เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลาง และเป้าหมายระยะยาว ซึ่งเป้าหมายในแต่ละช่วง จะมีความสำคัญมากน้อยแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการทางการเงินของแต่ละบุคคล โดยเป้าหมายทางการเงินในแต่ละช่วงอาจเป็นดังนี้

      1. เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี เช่น การศึกษาต่อปริญญาโท ซื้อรถยนต์ หรือสินค้าต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น

      2. เป้าหมายทางการเงินระยะกลาง คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลามากกว่า 3 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี เช่น การดาวน์เพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม การใช้จ่ายในงานแต่งงาน เป็นต้น

      3. เป้าหมายทางการเงินระยะยาว คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลามากกว่า 5 ปี เช่น การเกษียณอายุ การศึกษาบุตร เป็นต้
เมื่อกำหนดเป้าหมายทางการเงินแล้วจึงหาที่อยูู่ของเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ซึ่งจะมีเรื่องเวลา ผลตอบแทน ความเสี่ยง และสภาพคล่อง เข้ามาเกี่ยวข้อง เงินอยู่แต่ละที่จึงทำหน้าที่แตกต่างกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายชีวิตอย่างมั่งคั่งและมั่นคง


การนำเงินออมเพื่อเป้าหมายการเงินนั้น ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาการลงทุน ระดับความเสี่ยงของการลงทุนที่ยอมรับได้ ความสำคัญของเป้าหมาย เป็นต้น โดยอาจเลือกวางเงินไว้ตามระยะเวลาของเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม มีดังนี้
      1. เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น ควรลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เพราะมีระยะเวลาในการลงทุนสั้น จึงไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงได้มากนัก หากประสบผลขาดทุนอาจทำให้เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ไม่ประสบผลสำเร็จ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น เงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น
      2. เป้าหมายทางการเงินระยะกลาง สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องน้อยกว่า เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น เนื่องจากระยะเวลาในการออมเงินเพื่อเป้าหมายนานยิ่งขึ้น และสามารถลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากขึ้น โดยสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ตามระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้ และหุ้น) กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น
      3. เป้าหมายทางการเงินระยะยาว สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินได้หลากหลายมากที่สุด เพราะไม่ต้องการสภาพคล่อง และมีระยะเวลาในการลงทุนที่นาน โดยการเลือกลงทุนสำหรับเป้าหมายทางการเงินนี้ หากนำสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาร่วมคำนึงจะทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้ และหุ้น) กองทุนรวมหุ้น กองทุนลดหย่อนภาษี (LTF/RMF) กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงประกันชีวิต 


ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนช่วยลดหย่อนภาษีดีกว่า


หลายคนคงกำลังสงสัยว่าระหว่างการทำประกันชีวิตกับซื้อ LTF ควรจะเลือกซื้ออะไรดีเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้ 

ประกันชีวิต

ในการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตนั้น เงินค่าเบี้ยของประกันชีวิตที่คุณจะนำมา ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะ มี 2 แบบ แบบแรกคือค่าเบี้ยประกันชีวิต และแบบที่สองคือค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สำหรับค่าเบี้ยประกันอื่น ๆ เช่น ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุนั้น ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งประกันชีวิตที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีทั้ง 2 แบบมีเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
ค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าประกันชีวิตต้องมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และเงินคืนต้องไม่เกินกว่าร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันที่จ่ายรายปี 
ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถหักลดหย่อนได้ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเท่านั้น และมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป  โดยผลประโยชน์ของเงินบำนาญจะจ่ายคืนเมื่อผู้มีเงินได้อายุ 55 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เงินค่าเบี้ยประกันบำนาญเมื่อนำไปรวมกับเงินสำรองเลี้ยงชีพ เงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน เงินลงทุนใน RMF และเงินออมในกองทุนการออมแห่งชาติแล้ว จะสามารถนำมาลดหย่อนไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ

LTF หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว

สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามจริง แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับที่จะต้องเสียภาษีในปีนั้น และต้องไม่เกิน 500,000 บาท และผู้มีเงินได้ต้องถือครองการลงทุน LTF ไว้นาน 7 ปีจึงจะขายได้ หากขายก่อนก็ไม่สามารถนำเงินมาหักลดหย่อนภาษีได้ค่ะ

หากจะลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนดีกว่า?

การซื้อประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์หลักคือเรื่องคุ้มครองความเสี่ยงและอาจมีแถมเรื่องของการสะสมทรัพย์เข้ามาด้วย ในขณะที่การซื้อ LTF นั้นมีวัตถุประสงค์หลักในเรื่องของการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว ก่อนอื่นคุณคงต้องมาดูว่าก่อนว่ารวัตถุประสงค์ในการลงทุนของคุณเป็นแบบไหน
ความเสี่ยงจากความผันผวน LTF เหมาะกับคนที่สามารถรับความผันผวนจากผลตอบแทนได้ เพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้นหากคุณเลือกซื้อ LTF จะต้องยอมรับว่าเงินต้นคุณมีสิทธิ์หายไปได้ ส่วนประกันชีวิตเหมาะกับคนที่ต้องการซื้อความคุ้มครองชีวิตหรือถ้าเป็นประกันแบบสะสมทรัพย์ ก็เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ไม่ชอบความผันผวน ไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่มากนัก และไม่ต้องการให้เงินต้นหายด้วย สามารถรอเวลาได้นานถึง 10 ปีขึ้นไป และไม่รีบใช้เงินครับ
สภาพคล่อง ถ้าหากคุณเลือกลดหย่อนด้วยการซื้อประกันชีวิต คุณต้องรอนานถึง 10 ปีขึ้นไป ถึงจะได้เงินทุนคืน แต่กรมธรรม์บางตัวก็มีเงินคืนระหว่างทาง เป็นกระแสเงินสดที่คุณนำมาใช้ได้ ส่วน LTF ระยะเวลาสั้นกว่า 7 ปีปฏิทินก็สามารถขายหน่วยลงทุนได้ ถ้าหากคุณเลือกซื้อ LTF ที่มีการจ่ายเงินปันผลด้วย ก็จะได้เงินปันผลในระหว่างทางมาใช้
ผลตอบแทน หากคุณซื้อประกันชีวิตคุณอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่มากนัก แต่สิ่งที่ได้ก็คือความคุ้มครองและการลดหย่อนภาษีที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุ้ม ส่วนถ้าคุณเลือก LTF นั้น คุณจะมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงมากกว่าประกันชีวิต แต่ในทางกลับกัน การซื้อ LTF ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน ส่วนประกันชีวิตนั้นถ้าไม่เวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบสัญญา อย่างไรก็ไม่ขาดทุนแน่นอน
พอร์ตการลงทุนของคุณ ก่อนที่คุณจะเลือกลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิตหรือ LTF คุณควรต้องหันมาดูพอร์ตการลงทุนของคุณด้วยว่า ในตอนนี้คุณมีประกันชีวิตอยู่เท่าไหร่แล้ว และมีการลงทุนใน LTF เท่าไหร่แล้ว จึงค่อยตัดสินใจว่าคุณจะซื้ออะไรดีในปีนี้ ถ้าคนที่ไม่เคยทำประกันชีวิตมาก่อนเลย ก็น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้ตัดสินใจทำประกันชีวิตไปพร้อมกับการได้ลดหย่อนภาษีด้วย เช่นเดียวกับคนที่ไม่เคยลงทุนใน LTF หรือในตลาดหุ้นเลย ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่ได้เริ่มต้นลงทุนด้วย LTF เพราะ LTF นั้นมีผู้จัดการกองทุนที่ช่วยบริหารพอร์ตลงทุนให้คุณด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลเกี่ยวกับ ประกันชีวิตและการลงทุนใน LTF คุณผู้อ่านสามารถตัดสินใจเลือกกันได้หรือยังว่าจะลดหย่อนภาษีแบบไหนดี อย่างไรก็ตาม คุณก็สามารถแบ่งเงินซื้อทั้ง 2อย่างเฉลี่ยกันไปได้ เพราะมันก็เป็นการกระจายความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง แถมยังลดหย่อนภาษีได้เหมือนเดิมด้วยครับ

เก็บเงินออมหลักหมื่น ได้เป็นเงินเกษียณหลักล้าน



บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นโปรโมชั่น การผ่อนมือถือ
ผ่อน 0% นาน 6 เดือนบ้าง 10 เดือนบ้าง
ทำให้เราก็ตัดสินใจซื้อมือถือเครื่องใหม่ได้ง่ายๆ
แค่ผ่อนเดือนละ 2,000-3,000 บาทเอง
ในทางการเงินนั้นมูลค่าของมือถือจะลดลงเรื่อยๆ
พอใช้งานไป 3-5 ปีแทบจะหมดมูลค่าของมัน
แต่หากเราเปลี่ยนการผ่อนในรูปแบบนี้
มาออมในสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าในอนาคต
เช่น หุ้น หรือ กองทุนรวม จะสามารถมือเงินเก็บหลักล้านได้ในระยะยาว
เช่นออมในกองทุนรวม เดือนละ 2,000 บาท
เป็นระยะเวลา 10 ปี
ผลตอบแทนจากกองทุนรวมเฉลี่ยปีละ 10%
(ดูจากผลงานอดีตย้อนหลัง)
อนาคตจะมีเงิน 382,498 บาท
เกิดส่วนต่างของผลกำไร 142,498 บาท
หากอดทนให้เวลา 20. ปี ในการออม
จะมีเงินอยู่ที่ 1,374,600 บาท
เกิดส่วนต่างผลกำไร 894,600 บาท
แต่หากอดทนได้ถึง 30 ปี "เราจะมีเงินในอนาคต 3,947,857 บาท !!"
เกิดส่วนต่างของกำไร 3,227,857 บาท
ระยะเวลาในการออมที่ยาวพอ
เกิดความมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้น
ส่งผลให้เงินปลายทางต่างกันอย่างทวีคูณ
(จากการเก็บเงินเดือนละ 2,000 บาท)
นั่นเป็นที่มาของคำว่า
" ออมก่อนรวยกว่า "
ดังนั่นเเล้วการเก็บเงินเพื่อเกษียณ
เราสามารถเริ่มต้นจากเงินออมก้อนเล็กๆ 10%-15% ของรายได้
ให้ผ่านวันเวลาที่เกิดดอกเบี้ยทบต้น
ก็จะกลายเป็นเงินเกษียณก้อนใหญ่ของเราได้

ลดหย่อนภาษีด้วยอะไรดี? (ประกันชีวิต,ประกันบำนาญ,LTF,RMF)



เมื่อพูดถึง LTF, RMF ประกันชีวิต หรือประกันแบบบำนาญ คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับเรื่องการลดภาษีมากกว่าที่จะซื้อเพื่อให้ได้ประโยชน์จากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของตัวลดหย่อนนั้นๆ

ถ้าคิดจะซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีอย่างเดียว ไม่ว่าจะซื้ออะไร ถ้าจ่ายเงินเท่ากัน ก็ช่วยให้ลดหย่อนภาษีได้เท่ากันเช่นกันครับ

แต่ถ้าคุณต้องการมากกว่าการลดหย่อนภาษี ต้องการที่จะซื้อเพื่อให้ได้ประโยชน์ ได้ความคุ้มค่า และตอบโจทย์ชีวิตคุณจริงๆ ก็จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ของตัวลดหย่อนแต่ละประเภท สินค้านั้นตอบโจทย์อะไรเราบ้าง? หรือสินค้าลดหย่อนตัวไหนจำเป็นต่อชีวิตของคุณมากที่สุด?

การประกันชีวิตเป็นการการันตีเงินที่จะได้รับในอนาคต กรณีที่เราจากไปอย่างกระทันหัน แล้วคนที่เราอุปการะเลี้ยงดู (เช่น พ่อแม่ ลูก ภรรยา) อาจจะมีความเดือดร้อน(จากภาระค่าใช้จ่าย ค่าเล่าเรียน หรือหนี้สินที่มีอยู่) ประกันชีวิตมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีลักษณะความคุ้มครองและผลประโยชน์ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะได้ตอนเสียชีวิต (แบบเน้นความคุ้มครอง) หรือตอนยังมีชีวิต(แบบสะสมทรัพย์) แต่สิ่งที่สำคัญของการซื้อประกันชีวิต คือ “ทุนประกัน” ไม่ใช่ “ผลตอบแทน” เพราะถ้าคิดจะซื้อประกันโดยมอง “ผลตอบแทน” เป็นหลัก ไม่คุ้มครับ ซื้อ LTF หรือ RMF ผลตอบแทนสูงกว่าเห็นๆ ในระยะยาว

LTF คือกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่ง มีสัดส่วนการลงทุนแต่ในหุ้น 70-100% ทำให้มีความเสี่ยงและความผันผวนค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับการลงทุนเพื่อเป้าหมายทางการเงินระยะกลางถึงยาว ที่มีระยะเวลาอย่างน้อย 7 ปี ขึ้นไป เพราะไม่สามารถขายได้ก่อน 7 ปีปฏิทิน

RMF คือกองทุนรวมเพื่อคนที่ต้องการมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ ดังจะเห็นได้ว่าอยู่ในหมวดลดหย่อนภาษีเดียวกันกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือประกันแบบบำนาญ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเกษียณอายุตามปกติ คือเมื่ออายุ 55 หรือ 60 ปี เพราะตามเงื่อนไขแล้วหากลงทุนใน RMF จะขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่ออายุ 55 ปีเป็นต้นไป และลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี กองทุน RMF มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ให้เลือกหลากหลายประเภท ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ฯลฯ ดังนั้นจึงสามารถจัดพอร์ตและปรับพอร์ตการลงทุนได้ตลอดเวลาตามระดับความเสี่ยงที่รับได้

ประกันแบบบำนาญ เป็นทางเลือกหนึ่งในการเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณอายุ ช่วยให้มีเงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ โดยจะต้องออมอย่างต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณ (เช่น 55, 60 หรือ 65 ปี แล้วแต่แบบ) แล้วมีการการันตีเงินที่จะได้รับหลังเกษียณทุกๆปี ไปจนกระทั่งอายุ 85 หรือ 90 ปี

เครื่องมือทางการเงินที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ใช่แค่ซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี แต่อยากจะให้มองเป็นหนึ่งในเครื่องมือเพื่อการบริหารเงิน สร้างความมั่งคั่ง เสริมความมั่นคงของชีวิตและครอบครัวด้วยนะครับ

ตกลงเราควรซื้อสินค้าอะไรลดหย่อนภาษีดี? ประกันชีวิต, ประกันบำนาญ, LTF หรือ RMF ดี? หรือซื้อทุกอย่างเลย? แล้วควรจะแบ่งเงินไปซื้ออย่างละเท่าไหร่?

ผมแนะนำให้ตั้ง “เป้าหมายทางการเงิน” ของตัวเองดูก่อน ว่าต้องการอะไร? ใช้เงินเท่าไหร่? กรอบเวลาเท่าใด? แล้วค่อยมาคิดว่า เราจะจัดสรรเงินไปในแต่ละเป้าหมายเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงหาสินค้าทางการเงินที่ตอบโจทย์เป้าหมายนั้น จึงจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด

เราอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก มากกว่าแค่การซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีอย่างเดียว แต่เชื่อเถอะว่าการวางแผนการเงินทั้งระบบจะให้คุณได้ประโยชน์มากกว่าการลดหย่อนภาษีอย่างแน่นอน

4 ขั้นตอนวางแผนการเงินและเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม

          ด่านแรกของการวางแผนการเงิน  คือ           การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก ับการวางแผนบริหารรายร...