ด่านแรกของการวางแผนการเงิน คือ
การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก ับการวางแผนบริหารรายรับ - รายจ่าย และหนี้สิน เนื่องจากการที่เราจะเริ่มม ีความมั่งคั่งได้ เราก็ต้องทำงาน เมื่อเราทำงาน เราก็มีรายรับ ขณะที่เรามีรายรับ เราก็มีรายจ่ายที่ต้องใช้ใน การดำเนินชีวิต และในการดำเนินชีวิตบางครั้ งเราก็อาจจะต้องใช้ "เครดิต" มาช่วยในการบริหารกระแสเงิน สด เพื่อให้เรามีสินทรัพย์ที่เ ราต้องการในวันนี้ (เช่น บ้าน รถ หรือสิ่งของอื่นๆ) เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะบริ หารจัดการ รายรับ / รายจ่าย / หนี้สิน อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มี "เงินเหลือ" (Surplus) เพื่อเป็นการออมไว้ใช้ในอนาคต ยามที่เราไม่มีรายได้แล้ว (เช่น ตอนเกษียณ) หรือเอาไว้เป็นเงินสำรองเผื ่อเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นรากฐาน สำคัญที่สุดในทางการเงิน คนเราจะมีความมั่งได้ ต้องเริ่มจากนิสัยทางการเงิ น ในการบริหารรายรับ รายจ่ายที่ดีก่อนครับ
สินค้าทางการเงินที่เหมาะสม สำหรับการบริหารเงินในขั้นต อนนี้ :
1) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ = มีสภาพคล่องสูง สามารถฝากเข้าถอนออกได้ตลอด เวลา แต่ผลตอบแทนต่ำ จึงมีไว้เป็นที่เก็บเงินสำห รับเงินที่ต้องใช้จ่ายประจำ มีเงินเข้าเงินออกสม่ำเสมอ เช่น ไว้จับจ่ายใช้สอย เป็นค่ากินอยู่ในแต่ละเดือน เท่านั้นพอ (ไม่ควรไว้นานกว่านั้น เพราะผลตอบแทนต่ำ) หรืออาจไว้สำหรับเป็นเงินสำ รองเผื่อกรณีฉุกเฉินที่ต้อง ใช้เงินทันด่วน (ควรมีไว้ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนพ อ)
2) บัญชีเงินฝากประจำ / เงินฝากสหกรณ์ / เงินฝากอื่นๆ / ตั๋วเงินคลัง / พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น / ตราสารหนี้ระยะสั้น = มีสภาพคล่องต่ำกว่าออมทรัพย์ (ถูกบังคับให้ต้องฝากต่อเนื ่อง เช่น ตั้งแต่ 1-3 ปี) แต่ผลตอบแทนสูงกว่า จึงเหมาะกับการเป็นที่พักเง ินที่เหลือจากการใช้จ่ายประ จำ เพื่อเป็นเงินสำรองเผื่อฉุก เฉิน หรือเก็บออมไว้สำหรับเป้าหม ายระยะสั้น-กลาง ภายใน 1-3 ปี (เช่น เก็บเงินแต่งงาน, ดาวน์บ้าน/รถ, ท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น)
3) กองทุนรวมตลาดเงิน = เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุน ในเงินฝากหรือพันธบัตรระยะส ั้นหลายๆที่ จุดเด่นคือ มีสภาพคล่องสูงกว่าเงินฝากป ระจำ สามารถเอาเงินเข้าออกบัญชีก องทุนได้ตลอด (ใช้เวลารอ 1 วันหลังส่งคำสั่งซื้อหรือขา ยกองทุน) แต่มีอัตราผลตอบแทนพอๆกัน (ประมาณ 1.5-2% ต่อปี) จึงเหมาะสำหรับไว้เป็นที่พั กเงินระยะสั้นที่เหลือจากกา รใช้จ่าย แทนที่บัญชีออมทรัพย์เพราะใ ห้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือใช้เป็น "ศูนย์กลางในการบริหารเงินร ะหว่างบัญชีธนาคารต่างๆ" ก็ได้ เพราะบางกอง สามารถผูกได้หลายบัญชีธนาคา ร (ไม่เฉพาะธนาคารที่เป็นเจ้า ของกองทุน) สามารถส่งคำสั่งซื้อกองทุน จากบัญชีธนาคารไหนๆ แล้วส่งคำสั่งขายกองทุน เพื่อเอาเงินเข้าบัญชีธนาคา รไหนๆ ก็ได้ (สะดวกกว่าการไปกดเงินจากตู ้เอทีเอ็มธนาคารหนึ่ง แล้วเดินไปฝากอีกธนาคารหนึ่ ง เพราะสามารถทำผ่านหน้าจอคอม พิวเตอร์ได้เลย)
4) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ระ ยะสั้น-กลาง (ระยะเวลาสัญญา3-7 ปี)= เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อบ ังคับให้เราออมเงิน จะได้เก็บเงินให้อยู่เป็นเง ินก้อนใหญ่ โดยมีการคุ้มครองชีวิตพ่วงด ้วย นั่นเอง
5) บัตรเครดิต = เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบ ริหารกระแสเงินสดเพื่อความส ะดวก ในการซื้อสินค้าและบริการ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพกเง ินเยอะๆไปจ่ายเป็นก้อนเดียว แต่สามารถจ่ายทีหลัง หรือทยอยจ่ายได้ (เช่นพวก ผ่อน 0%) ทำให้เราไม่ต้องจ่ายเงินก้อ นใหญ่ในคราวเดียว เราจึงสามารถนำเงินไปบริหาร จัดการเรื่องอื่นๆได้ แล้วสามารถทยอยจ่ายได้ในอนา คต ***แต่สำคัญว่า เราต้องมีเงินเพียงพอที่จะซ ื้อสินค้านั้นแล้วเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเรามีเงินจ ่ายคืนชัวร์ๆ ไม่โดนชาร์จดอกเบี้ยสูงๆ (เฉลี่ย 20% ต่อปี) นอกจากนั้น ก็มีไว้เพื่อใช้สิทธิพิเศษ หรือโปรโมชั่นลดราคา หรือสะสมคะแนนในการใช้จ่ายต ่างๆอีกด้วย
6) การใช้สินเชื่อเงินกู้ (O/D / P/ N)= เป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการ เงินเพื่อมาใช้บริหารสภาพคล ่องในธุรกิจ หรือลงทุนระยะยาว หรือหากเป็นบุคคลธรรมดาก็ใช ้เพื่อกู้ซื้อสินทรัพย์ที่ม ีราคาสูง เช่น บ้าน รถ ตามความจำเป็น ข้อสำคัญคือ ต้องใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ และต้องมีศักยภาพในการผ่อนช ำระที่เหมาะสม
การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก
สินค้าทางการเงินที่เหมาะสม
1) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ = มีสภาพคล่องสูง สามารถฝากเข้าถอนออกได้ตลอด
2) บัญชีเงินฝากประจำ / เงินฝากสหกรณ์ / เงินฝากอื่นๆ / ตั๋วเงินคลัง / พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น /
3) กองทุนรวมตลาดเงิน = เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุน
4) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ระ
5) บัตรเครดิต = เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบ
6) การใช้สินเชื่อเงินกู้ (O/D / P/
การปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection)
เมื่อเราบริหารรับ / รายจ่าย / หนี้สินได้ดี จนมีเงินเหลือ สะสมมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว เราก็ควรจะปกป้องคุ้มครองเงิน เหลือที่เราหามาได้ซะก่อน เพราะชีวิตมีความไม่แน่นอน หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น เจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆหรือเป็ นโรคร้ายแรง, ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งต้องเสียค่ารักษาแพงๆ, เป็นคนทุพพลภาพ ทำงานไม่ได้ไม่มีรายได้ แต่ยังมีชีวิต ยังมีรายจ่าย หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังขาดคนห ารายได้มาเลี้ยงดู รวมไปถึงความสูญเสียในทรัพย ์สินต่างๆ เช่น รถ บ้าน ธุรกิจ จากอุบัติเหตุ (รถชน ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ) เราจึงต้องถ่ายโอนความเสี่ย งเหล่านี้ให้คนอื่น โดยการจ่ายเบี้ยประกันเล็กน ้อย แลกกับวงเงินความคุ้มครองที ่สูง ซึ่งก็คือ "การทำประกัน" นั่นเอง
สินค้าทางการเงินที่เหมาะสม สำหรับการบริหารเงินในขั้นต อนนี้ :
1) ประกันชีวิตแบบเน้นความคุ้ม ครองชีวิต (แบบตลอดชีพ หรือแบบชั่วระยะเวลา) = ไว้สำหรับปกป้องความเสี่ยง ไม่ให้คนข้างหลังเดือดร้อน หากเราจากไปอย่างกะทันหัน
2) ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ (รวมถึงประกันโรคร้ายแรงและ ทุพพลภาพ)= ไว้สำหรับคุ้มครองค่ารักษาแ พงๆ มีเงินชดเชย รองรับกรณีเป็นโรคร้ายแรงหร ือทุพพลภาพ
3) ประกันภัย (ประกันทรัพย์สิน) = มีไว้คุ้มครองความเสียหายขอ งทรัพย์สิน ให้เราได้รับเงินชดเชย
เมื่อเราบริหารรับ / รายจ่าย /
สินค้าทางการเงินที่เหมาะสม
1) ประกันชีวิตแบบเน้นความคุ้ม
2) ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ (รวมถึงประกันโรคร้ายแรงและ
3) ประกันภัย (ประกันทรัพย์สิน) = มีไว้คุ้มครองความเสียหายขอ
เพิ่มพูนความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation)
เมื่อเรามีเงินเหลือ และเงินเหลือได้รับการปกป้อ งเป็นอย่างดีแล้ว เราก็นำเงินที่เหลือไปต่อยอ ด เพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งไ ด้อย่างสบายใจ เพื่อให้เงินที่เรามีเติบโต เป็นก้อนใหญ่ไว้ใช้อย่างเพี ยงพอในวันที่เราไม่มีรายได้ ในอนาคต (ตอนเกษียณ) ซึ่งก็คือ "การลงทุน" นั่นเอง นอกจากนั้น ระหว่างทางที่เราทำงาน มีรายได้ เราก็ต้องเสียภาษี จึงต้องมี "การวางแผนภาษี" เพื่อดึงรายได้ของเรากลับมาอย่างถูกต้อง เหมาะสม ทำให้เรามีเงินเพิ่มขึ้นอีก ด้วย
สินค้าทางการเงินที่เหมาะสม สำหรับการบริหารเงินในขั้นต อนนี้ :
1) หุ้นสามัญ / ตราสารทุน (Equity) = ผู้ถือมีฐานะเป็น "เจ้าของ" บริษัท ได้รับผลตอบแทนเป็นราคาหุ้นที ่สูงขึ้น (Capital Gain) และเงินปันผล (Dividend) ที่ไม่แน่นอน (ขึ้นอยู่กับนโยบายและผลประ กอบการของบริษัท)
2) หุ้นกู้ / ตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว / พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (Bond / Debentures) = ผู้ถือมีฐานะเป็น "เจ้าหนี้" ของผู้ที่ออก ได้รับผลตอบแทนเป็นราคาหุ้นที ่สูงขึ้น (Capital Gain) หากมีการซื้อขายกันในตลาด และดอกเบี้ย (Interest) ที่จ่ายคงที่ แน่นอน
3) อสังหาริมทรัพย์ (Property)= ลงทุนเพื่อหวังรายได้จาก "ค่าเช่า" และ/หรือ ราคาที่เพิ่มสูงขึ้น
4) ทองคำ (Gold) = หวังผลกำไรจากราคาที่สูงขึ้ น หรือถือไว้ เพื่อรักษามูลค่าของเงินลงท ุน
5) อนุพันธ์ (Derivatives) เช่น Futures, Options = ใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงใน การลงทุน ด้วยการทำสัญญาว่าจะซื้อหรื อขายไว้ล่วงหน้า หรือใช้เป็น "คานงัด" (Leverage) เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้ สูงขึ้น ด้วยเงินลงทุนที่น้อยลงกว่า การไปลงทุนในหุ้นนั้นโดยตรง
6) อัตราแลกเปลี่ยน (Forex) = หวังผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ ยนที่เปลี่ยนไป
7) กองทุนรวม (Mutual Fund)= หวังผลเหมือนกับการไปลงทุนใ นสินทรัพย์นั้นๆเองโดยตรง แต่มีความสะดวกกว่า เพราะไม่ต้องคัดเลือกสินทรั พย์เอง ไม่ต้องบริหารจัดการเอง หากเป็น RMF / LTF ก็จะได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษ ีด้วย
😎 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนบำเน็จบำนาญข้ารา ชการ (กบข.) สำหรับราชการ = เป็นเครื่องมือในการลงทุนอั ตโนมัติจากบริษัทที่ทำงาน คาดหวังผลลัพธ์เช่นเดียวกับ การลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป และได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภา ษีด้วย
9) ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ระย ะยาว (แบบสะสมทรัพย์ ระยะยาว 7 ปีขึ้นไป, แบบบำนาญ) = ใช้เพื่อต้องการการันตีเงิน ส่วนที่จำเป็นในอนาคต ผลตอบแทนต่ำ แต่มีความแน่นอน และได้สิทธิ์ในการลดหย่อนภา ษี
ส่วนจะเลือกลงทุนในอะไร ก็แล้วแต่ความชอบ ความต้องการ ความรู้ ความถนัด หรือลงทุนในหลายๆสินทรัพย์ ตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับพอร ์ตการลงทุนที่วางแผนไว้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ ยง ให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการ ในความเสี่ยงที่รับได้ ก็ได้ครับ
เมื่อเรามีเงินเหลือ และเงินเหลือได้รับการปกป้อ
สินค้าทางการเงินที่เหมาะสม
1) หุ้นสามัญ /
2) หุ้นกู้ / ตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว / พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (Bond /
3) อสังหาริมทรัพย์ (Property)= ลงทุนเพื่อหวังรายได้จาก "ค่าเช่า" และ/หรือ ราคาที่เพิ่มสูงขึ้น
4) ทองคำ (Gold) = หวังผลกำไรจากราคาที่สูงขึ้
5) อนุพันธ์ (Derivatives) เช่น Futures, Options = ใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงใน
6) อัตราแลกเปลี่ยน (Forex) = หวังผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่
7) กองทุนรวม (Mutual Fund)= หวังผลเหมือนกับการไปลงทุนใ
😎 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนบำเน็จบำนาญข้ารา
9) ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ระย
ส่วนจะเลือกลงทุนในอะไร ก็แล้วแต่ความชอบ ความต้องการ ความรู้ ความถนัด หรือลงทุนในหลายๆสินทรัพย์ ตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับพอร
การส่งมอบความมั่งคั่ง” (Wealth Distribution) เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่มีคว ามสำคัญไม่แพ้
ในการบริหารจัดการความมั่งค ั่ง เพราะจะช่วยให้สิ่งที่คุณสร ้างสมและเก็บรักษามาตลอดชีว ิตถูกจัดสรรให้แก่คนที่คุณร ัก ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือแม้กระทั่งการแบ่งปันให ้กับผู้อื่นตามที่คุณต้องกา ร โดยหัวใจหลักของการส่งมอบคว ามมั่งคั่งก็คือ “การวางแผนมรดก” ที่จะช่วยส่งผ่านความมั่งคั ่งร่ำรวยจากรุ่นสู่รุ่น แถมยังช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทรัพ ย์สมบัติทั้งหมดจะถูกสืบทอด ไปตามเจตนารมณ์ของคุณ
หลังจากที่คุณได้สร้างและสะ สมความมั่งคั่งของตนเองมาระ ดับหนึ่ง ก็ถึงเวลาคิดและถามตัวเองว่ าตอนนี้คุณมีทรัพย์สินอะไรบ ้าง? แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่ ? หรือหากวันนี้คุณเป็นอะไรไป ทายาทจะได้รับมรดกอย่างที่ค ุณอยากยกให้หรือไม่?
เป็นไปได้ว่า...ถ้าคุณไม่ได ้มีการวางแผนและตระเตรียมทุ กสิ่งทุกอย่างเอาไว้ตั้งแต่ ตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ทรัพย์สมบัติของคุณอาจตกไปอ ยู่กับคนที่คุณไม่ได้ตั้งใจ จะมอบให้ก็เป็นได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นตามข่าว หน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ... ญาติพี่น้องทะเลาะกันเพื่อแ ย่งชิงมรดก หรือลูกนอกสมรสออกมาเรียกร้ องสิทธิในทรัพย์สมบัติ หนักเข้าก็ถึงขั้นฟ้องร้องข ึ้นโรงขึ้นศาลเป็นเรื่องเป็ นราวใหญ่โต เสียทั้งชื่อเสียงและเงินทอ ง
ขั้นตอนนี้อาจจะไม่ได้ใช้สิ นค้าทางการเงินเป็นหลัก แต่จะใช้ "กระบวนการ" มากกว่า เช่น การจัดทำพินัยกรรม, การวางแผนส่งมอบธุรกิจ, การจัดตั้งกองทรัสต์, การตั้งธรรมนูญครอบครัว ฯลฯ หากจะใช้สินค้าทางการเงิน ก็เช่น ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เพื่อสร้างเงินมรดกการันตีใ ห้ลูกหลาน เมื่อเราจากไป ก็ได้ครับ
ในการบริหารจัดการความมั่งค
หลังจากที่คุณได้สร้างและสะ
เป็นไปได้ว่า...ถ้าคุณไม่ได
ขั้นตอนนี้อาจจะไม่ได้ใช้สิ