5 นิสัยการใช้เงิน คนจะจน vs คนจะรวย


จากหนังสือ START LATE FINISH RISH เริ่มต้นช้าใช่ว่าจะรวยไม่ได้ คุณเดวิด บาค แบ่งนิสัยการใช้เงินโดยใช้หลักการ รู้หา รู้ใช้ รู้ออม รู้ลงทุน มาบริหารจัดการ ซึ่งส่งผลต่อชะตาชีวิตเราว่าจะเป็นคนจน หรือ คนรวย


 เราจะทำการไล่ไปทีละนิสัยเพื่อให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และเข้าใจว่าทำไมนิสัยแต่ละแบบจึงกำหนด     ชะตาชีวิตของคุณแน่นอน และจะเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยกลยุทธ์อะไรดี
โดย 20 % เป็นเงินออม อีก 30 % นำไปลงทุน ในกองทุนหรือธุรกิจที่ให้ผลประโยชน์งอกเงยตามหลัก "ให้เงินทำงาน  เพื่อคุณ"

ใช้เงินเท่ากับที่หาได้ ทำไมถึงจน ? 
      นิสัยนี้ คนเข้าใจกันผิดมาก ๆ ว่า "ดีแล้วนี่  ไม่เห็นน่าเดือดร้อนเลย" ปัญหาคือ ถ้าคุณหาได้ 100 ก็ใช้ 100 คุณจะไม่มี
    เงินเก็บสำรองยามฉุกเฉินเลย ดังนั้นคุณควรเปลี่ยนตัวเองจากนิสัย "หา 100 ใช้ 100" ตั้งแต่วันนี้เลย ตามขั้นตอนนี้
    1 เริ่มลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
คนเราเข้าใจผิดมาตลอดว่า "ถ้าอยากรวยต้องหาเงินเพิ่ม" ผิด ผิด ผิด! ผิดหลักการบริหารเงินส่วนตัวทุกคนทุกครูอาจารย์
    ในโลก เพราะเรากำลังพึ่งพาอำนาจนอกตัวเรา คือคนที่จ้างงานเราแทนที่จะเริ่มต้นที่ตัวเองก่อนคือการตัดรายจ่าย ซึ่งได้ผลที่สุด  เร็วที่สุด ไม่ต้องรอใคร

    
2 ปลูกฝังนิสัย ได้เงินมาปั๊บ หัก 10 % เป็นเงินออมเลย    
เมื่อทำได้ครึ่งปีแล้วค่อยเพิ่มเป็น 15 และ 20 % ในที่สุด ห้ามเถลไถลกำเงินแล้ว "ขอซื้อของก่อนน่า" เด็ดขาด!
    3 นำเงินออมนั้นเข้าบัญชีแยกต่างหาก                  
เข้าบัญชีที่สามารถถอนเงินได้ไม่ต้องขอ ไม่ใช่เข้ากองทุนที่ ปีถึงมีสิทธิ์ถอน เพราะนี่คือเงินออมฉุกเฉิน ยังไม่ใช่
     เงินลงทุน และที่ต้องแยกบัญชีต่างหากเพราะเจ้าของเงินจะได้เห็นตัวเลขเพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่ฝากเพิ่ม ทำให้เกิดกำลังใจ
     ผลักดันให้คุณรู้ว่าการสร้างนิสัยใหม่ให้ผลคุ้มค่าน่าชื่นใจอย่างนี้เอง ก็จะมีมานะอยากทำดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะเห็นสมุดบัญชีแล้วดีใจจัง แทนที่จะหวาดกลัวไม่กล้าอัพเดทบุ๊คเหมือนที่ผ่านมา
     4 ทุกครั้งที่หักเงินออมแล้วนำเข้าธนาคารจงชมเชยตัวเองเพื่อสร้างกำลังใจ
คนเรามักเข้าใจผิดว่า เมื่อทำอะไรสำเร็จต้องให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อของหรือปรนเปรอด้วยความหรู ความแพง

      ผิด! การให้รางวัลตัวเองที่ดีที่สุดคือการ "สร้างอนาคตที่ดี" ให้ตัวคุณ และเมื่อคุณกำลังสร้างอนาคตทีละขั้น ๆ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณเกิดพลังกายและใจ คือ
"หัดชมชยตัวเองทุกครั้งที่เราทำดี " การชมเชยตัวเองคือการให้พลังแก่จิตวิญญาณข้างใน
    ของคุณชนิดหาค่ามิได้ มันบอกนิสัยรักตัวเองอย่างชัดเจนเลย และคนรักตัวเองจริง ๆ ก็จะมุ่งมั่นสร้างสรรค์แต่สิ่งดี ๆ สู่ชีวิตและยอมขจัดหรือโละสิ่งอันไม่พึงปรารถนาหรือบั่นทอนชีวิตออกไปอย่างไม่ลังเล ที่สำคัญ การชมเชยตัวเองจะช่วยย้ำจิตคุณว่าคุณทำสิ่งที่ดีงามแล้ว จิตก็จะอยากทำดีต่อไปและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
     5 อย่านำเงินออมนี้ไปให้รางวัลตัวเองด้วยของฟุ่มเฟือยเด็ดขาด
เพราะหลายคนพอเห็นเงินออมเริ่มเติบโตขึ้น จะถอนไปเล่นแชร์ เล่นหุ้น ซื้อของแพง ๆ ที่อยากได้ ไม่ใช่ ผิดวัตถุ

     ประสงค์ เงินออมนี้ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ตกงานกระทันหัน ที่บ้านป่วย รถเสียต้องซ่อม ยกเครื่อง ฯลฯ
     กุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณเปลี่ยนจากความเชื่อแบบ "ใช้เงินพอดีกับรายได้ ไม่เห็นเดือดร้อน" มาเป็น  คนที่เห็นคุณค่าของการออมเงิน ต้องอาศัยการชมเชยตัวเองบวกกับวินัย

กำหนดเป้าหมายทางการเงินก่อน แล้วค่อยหาที่อยู่ของเงินให้เหมาะสม



แนวความคิดการวางแผนด้านการเงิน
ต้องมีเป้าหมายชีวิต แล้วมากำหนดเป้าหมายทางการเงินให้สอดคล้องกัน

 “ เป้าหมายทางการเงิน “ เป็นสิ่งที่ทุกคนวาดฝันไว้ เช่น อยากมีบ้านหลังโตๆ อยากได้รถ อยากมีเงินใช้เยอะๆ หลังเกษียณอายุ เป็นต้น ซึ่งหลายๆ คนสามารถทำตามฝันที่วางไว้ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย บางคนต้องใช้ความพยายามอย่างมากจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้  หรือบางคนสามารถทำตามความตั้งใจไว้ได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นคือ เป้าหมายทางการเงิน การวางแผนทางการเงินเป็นตัวช่วยที่ทำให้เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น ดังนั้น เรามาเรียนรู้ถึงวิธีที่จะช่วยให้การวางแผนการเงิน เพื่อให้เป้าหมายทางการเงินประสบความสำเร็จได้

กำหนดเป้าหมายทางการเงิน

 ดั่งสำนวนที่ว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” สำหรับการตั้งเป้าหมายทางการเงิน หากมีการตั้งเป้าหมายที่ดี และเหมาะสมแล้ว ความเป็นไปได้ที่เป้าหมายทางการเงินนั้นจะประสบผลสำเร็จก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินความสามารถ ลักษณะของเป้าหมายทางการเงินที่ดีนั้น ประกอบไปด้วย 5 ปัจจัย หรือที่เราเรียกกันว่าการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ดีตามหลัก SMART ได้แก่
      - S pecific : ชัดเจน ว่าต้องการอะไร
      - M easurable : วัดผลได้ เพื่อให้รู้ว่าเป้าหมายใกล้สำเร็จหรือไม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบตัวเงิน 
      - A ccountable : รู้ถึงแนวทางว่าทำอย่างไร เพื่อให้เป้าหมายนี้สำเร็จได้
      - R ealistic : เป้าหมายควรท้าทาย แต่สามารถทำได้จริง
      - T ime Bound : มีระยะเวลากำหนดแน่นอนว่า ต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะสำเร็จผลได้

      ตัวอย่าง เป้าหมายทางการเงินที่ดี คือ นายมั่งมี ต้องการมีเงินเก็บ จำนวน 1 ล้านบาท โดยตั้งใจจะออมเงินจำนวน 16,700 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี เป็นต้น

      เป้าหมายทางการเงิน สามารถแบ่งแบบง่ายๆ ตามระยะเวลาได้ 3 แบบ คือ เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลาง และเป้าหมายระยะยาว ซึ่งเป้าหมายในแต่ละช่วง จะมีความสำคัญมากน้อยแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการทางการเงินของแต่ละบุคคล โดยเป้าหมายทางการเงินในแต่ละช่วงอาจเป็นดังนี้

      1. เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี เช่น การศึกษาต่อปริญญาโท ซื้อรถยนต์ หรือสินค้าต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น

      2. เป้าหมายทางการเงินระยะกลาง คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลามากกว่า 3 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี เช่น การดาวน์เพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม การใช้จ่ายในงานแต่งงาน เป็นต้น

      3. เป้าหมายทางการเงินระยะยาว คือ เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการทำให้สำเร็จภายในระยะเวลามากกว่า 5 ปี เช่น การเกษียณอายุ การศึกษาบุตร เป็นต้
เมื่อกำหนดเป้าหมายทางการเงินแล้วจึงหาที่อยูู่ของเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ซึ่งจะมีเรื่องเวลา ผลตอบแทน ความเสี่ยง และสภาพคล่อง เข้ามาเกี่ยวข้อง เงินอยู่แต่ละที่จึงทำหน้าที่แตกต่างกัน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายชีวิตอย่างมั่งคั่งและมั่นคง


การนำเงินออมเพื่อเป้าหมายการเงินนั้น ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาการลงทุน ระดับความเสี่ยงของการลงทุนที่ยอมรับได้ ความสำคัญของเป้าหมาย เป็นต้น โดยอาจเลือกวางเงินไว้ตามระยะเวลาของเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม มีดังนี้
      1. เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น ควรลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องสูง และมีความเสี่ยงต่ำ เพราะมีระยะเวลาในการลงทุนสั้น จึงไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงได้มากนัก หากประสบผลขาดทุนอาจทำให้เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ไม่ประสบผลสำเร็จ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น เงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น
      2. เป้าหมายทางการเงินระยะกลาง สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องน้อยกว่า เป้าหมายทางการเงินระยะสั้น เนื่องจากระยะเวลาในการออมเงินเพื่อเป้าหมายนานยิ่งขึ้น และสามารถลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากขึ้น โดยสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ตามระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้ และหุ้น) กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น
      3. เป้าหมายทางการเงินระยะยาว สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินได้หลากหลายมากที่สุด เพราะไม่ต้องการสภาพคล่อง และมีระยะเวลาในการลงทุนที่นาน โดยการเลือกลงทุนสำหรับเป้าหมายทางการเงินนี้ หากนำสิทธิประโยชน์ทางภาษีมาร่วมคำนึงจะทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวมผสม (ตราสารหนี้ และหุ้น) กองทุนรวมหุ้น กองทุนลดหย่อนภาษี (LTF/RMF) กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงประกันชีวิต 


ออมแบบ “การันตี” เพื่อการเกษียณกันดีกว่า


เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดในการออมเงินคือออมให้ชนะเงินเฟ้อ เพราะการถือเงินสดไว้เฉยๆ สุดท้ายมูลค่าเงินก็จะถูกเงินเฟ้อค่อยกัดกินไปเรื่อง ดังนั้นโดยคร่าวๆเราต้องการสร้างผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวให้ได้มากกว่า 3.5-5% ต่อปี ดังนั้นออมแบบปลอดภัยอย่างเดียวไม่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายแน่นอน ต้องมีการผสมผสานกันกับพอร์ตที่เป็นตราสารทุนด้วยเพื่อให้ผลตอบแทนเติบโต แต่ยังไงในพอร์ตของการออมก็จำเป็นต้องมีการออมที่เป็นการการันตีผลตอบแทนอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะคำว่า “การันตี” ก็ทำให้เรารู้ว่าถึงแม้วันที่แย่ที่สุด พอร์ตที่การันตีก็เป็นเหมือนปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับเราได้
หากพูดถึงการออมหรือการลงทุนที่เป็นแบบการันตี หรือความเสี่ยงต่ำ หลายคนมักจะนึกถึงเงินฝากธนาคารเป็นหลัก แต่ความจริงแล้ว การออมแบบความเสี่ยงต่ำยังมีเครื่องมืออยู่อีกหลายตัวที่ช่วยเราได้ ซึ่งแต่ละตัวก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไปครับ
ตราสารหนี้หรือกองทุนตราสารหนี้ ตราสารหนี้ การลงทุนด้วยวิธีนี้เป็นสิ่งที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด และเป็นการลงทุนที่ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอในรูปแบบของดอกเบี้ย ปกติหากพูดถึงตราสารหนี้ คนที่เกี่ยวข้องมักจะเป็นสถาบันการเงินต่างๆที่เข้าไปทำการถือตราสารหนี้ เพราะตลาดตราสารหนี้เป็นตลาดที่ซื้อขายกันในวงเงินที่สูง ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีสถาบันการเงินสร้งผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่ากองทุนตราสารหนี้ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการออมทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อย ด้วยการเป็นผู้จัดการลงทุนให้กับเจ้าของเงินในตราสารหนี้ต่างๆ รูปแบบการรับผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้มีทั้งสองแบบคือแบบมีกระแสเงินสดจากเงินปันผลของกองทุน นึกภาพง่ายๆว่ากองทุนลงทุนในตราสารหนี้เมื่อตราสารหนี้ได้รับดอกเบี้ยมา กองทุนก็นำเงินที่ได้รับมาปันผลต่อให้กับผู้ถือหน่วย แต่หากเป็นกองทุนแบบที่ไม่ได้ปันผล เวลาที่ได้รับดอกเบี้ยมา ก็จะทำให้กองทุนมีมูลค่า NAV สูงขึ้นเรื่อยๆ เราก็ขายคืนกองทุนนี้แล้วก็จะได้เงินต้นรวมกับผลตอบแทนออกมาครับ
อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ พูดถึงการลงทุนแบบนี้ ถือว่าเป็นยอดปรารถนาของนักลงทุนหลายๆคนครับ เพราะว่าในระยะยาว อสังหาริมทรัพย์ล้วนมีแต่ราคาขึ้นเรื่อยๆ แถมการปล่อยให้เช่าก็เป็นการสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอน คล้ายๆกับการรับดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน แถมยังสามารถขึ้นค่าเช่าได้ด้วยเมื่อเวลาผ่านไป แต่การลงทุนแบบนี้มีข้อหนึ่งที่ต้องระวังก็คืออสังหาฯมักจะต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งมักตามมาด้วยการก่อหนี้ และต้องมีดอกเบี้ยเกิดขึ้นแน่นอน การลงทุนในแบบนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังและศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนค่อนข้างมาก หากผิดพลาดไปจะแก้ไขก็ไม่ง่าย เพราะว่าการจะขายต่อก็มีข้อจำกัดเรื่องของสภาพคล่อง รวมถึงค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนมือเจ้าของด้วย บางคนที่เห็นความยุ่งยากนี้ก็อาจจะมีทางเลือกอีกทางหนึ่งคือการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้ ซึ่งมีผู้จัดการทุกอย่างให้เสร็จ เพียงแค่จ่ายเงินลงทุน แล้วก็รอรับเงินปันผลจากกองทุนได้เลยครับ
เครื่องมือสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในคราวนี้ก็คือ ประกันสะสมทรัพย์หรือบำนาญ การออมในรูปแบบนี้แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนเท่ากันหรืออาจจะต่ำกว่าในสองรูปแบบข้างต้น แต่ก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะว่าการออมผ่านประกันสะสมทรัพย์ เป็นเพียงสินค้าทางการเงินไม่กี่แบบที่ “การันตี” ผลตอบแทนการออม ไม่ว่าสภาวะผลตอบแทนอื่นๆจะเป็นเท่าไหร่ แต่ประกันสะสมทรัพย์ให้เราตามสัญญาไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังมีโอกาสได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีด้วย ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยแล้วอาจจะสูงได้ถึง 4-6% ต่อปีเลยทีเดียว และที่สำคัญที่สุดคือการทำประกันแบบสะสมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่แปรเป็นเงินสดได้เร็วที่สุดยามเจ้าของจากไป เมื่อเทียบกับสองข้อข้างต้นที่ต้องเข้ากระบวนการจัดสรรมรดกให้แก่ทายาทซึ่งอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีเลยทีเดียว แต่ประกันนั้นสามารถจ่ายเงินสินไหมให้กับทายาทหรือผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ได้โดยทันที
ถ้าถามว่าการออมการลงทุนทั้งสามแบบ แบบไหนดีที่สุด บอกแบบพระเอกได้เลยครับว่าไม่สามารถฟันธงได้ครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าชอบแนวไหนมากกว่ากัน แต่ความเห็นผมเห็นว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนที่ดีที่สุดในตัวเองได้สมบูรณ์ครับ แผนการเงินที่ดีต้องมีองค์ประกอบหลายๆส่วนมาร่วมด้วยช่วยกันครับ เหมือนกับทีมฟุตบอลที่ต้องมีหลากหลายหน้าที่ผสมผสานกันไป เราจึงจะได้พอร์ตการออมการลงทุนที่สามารถสร้างประโยชน์ไปพร้อมกับผลตอบแทนได้ทุกๆสถานการณ์ครับ

“อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน – Don’t put all your eggs in one basket”



เมื่อปลายสัปดาห์เป็นอีกครั้งที่เราได้เรียนรู้จากตลาดหุ้นไทยในเรื่องหลักของการกระจายความเสี่ยง หรือที่เรียกกันว่า "Diversification" ซึ่งเป็นหลักการลงทุนเบื้องต้นที่นักลงทุนทุกคนคงจะเคยได้ยินได้รู้จักในการลงทุน เพราะถ้าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน หากตะกร้านั้นเป็นอะไรไป ไข่ก็จะเสียหายทั้งหมด โดยเปรียบไข่เป็นเงินลงทุนของเรา การกระจายด้วยการนำไข่ไปใส่ในหลายๆ ตะกร้า ก็เปรียบเสมือนกับการนำเงินลงทุนกระจายไปในการลงทุนหลายรูปแบบ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ เงินฝาก ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันกับตะกร้าใบใดใบหนึ่ง อย่างน้อย เราก็ยังมีตะกร้าใบอื่นๆ เหลืออยู่

สินทรัพย์ทางการเงินทุกอย่างมีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนของผลตอบแทนเกิดขึ้นเสมอ การกระจายความเสี่ยงอาจลดอัตราผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนก็จริงๆ แต่สิ่งที่ลดลงด้วยก็คือ ความเสี่ยง

เราสามารถกระจายความเสี่ยงได้ในหลายระดับ เช่น

• การกระจายการลงทุนภายในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน เช่น ผู้ลงทุนในหุ้นรายตัว อาจจะกระจายความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในหุ้นแต่ละอุตสาหกรรม หากอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเกิดมีปัญหา ผู้ลงทุนจะไม่ได้ผลกระทบมากนัก เพราะยังเหลืออุตสาหกรรมอื่นที่ยังดีอยู่ หรือผู้ลงทุนในตราสารหนี้ ก็อาจจะมีการกระจายการถือตราสารหนี้หลายฉบับระหว่างผู้ออกตราสารภาครัฐกับภาคเอกชน

• การกระจายระหว่างประเภทสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่าการทำ “Asset Allocation” คือ ผู้ลงทุนอาจกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน หรือคนละประเภทสินทรัพย์ เช่น เงินสด ตราสารหนี้ ตราสารทุน อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ น้ำมัน เป็นต้น

• การกระจายข้ามประเทศ (Country Allocation หรือ International Diversification) คือ ผู้ลงทุนอาจกระจายเงินลงทุนไปยังตลาดประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ตลาดประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Markets) หรือทั่วโลก (Global) เพราะในบางครั้งประเทศไทยแย่ หรือประเทศโซนเอเชียแย่ แต่ยังมีประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือภูมิภาคอื่นที่ยังมีการเติบโตให้เลือกลงทุนอยู่

จากตลาดหุ้นไทยเมื่อปลายสัปดาห์ เราจะเห็นได้ว่าการกระจายการลงทุนภายในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน หรือการกระจายระหว่างประเภทสินทรัพย์คงไม่เพียงพอ เราจำเป็นที่จะต้องมีการกระจายการลงทุนข้ามประเทศด้วย อย่างเช่น แทนที่จะลงทุนในหุ้นประเทศเดียว ก็กระจายไปลงทุนในหุ้นของประเทศอื่นๆ ด้วย โดยในระหว่างเส้นทางการลงทุน หากหุ้นของแต่ละประเทศ เคลื่อนไหวแตกต่างกันบ้าง ก็จะได้ประโยชน์จากการกระจายการลงทุน

เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศก็เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดภายในประเทศครับ เช่น ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทาง สังคม การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมายหรือข้อบังคับต่างๆ รวมถึงข้อจำกัดในการลงทุนภายในประเทศนั้นๆ เช่น ข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินข้อจำกัดเกี่ยวกับการลงทุนจากต่างชาติ และการแทรกแซงของหน่วยงานรัฐ เป็นต้น

ตัวอย่าง
ในปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ตลาดหุ้นไทยร่วงลง 50% ในขณะที่ปีเดียวกันนั้นตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 33 %ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นของประเทศในกลุ่มยูโรปรับตัวเพิ่มขึ้น 36.8% ในสกุลเงินยูโร ดังนั้นหากในปี 2540 นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนในยังต่างประเทศได้ก็จะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงเงินลงทุนทั้งหมดในประเทศไทย

หรือในกรณีเหตุการณ์วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่ตลาดหุ้นไทยตกลงวันเดียวเกิน 10% จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการสำรอง 30% ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการลงทุนของประเทศอื่นๆ เลย

ซึ่งจะเห็นว่าในช่วงเวลาดังกล่าวการกระจายการลงทุนในบริษัทต่างๆ หลายบริษัทหรือหลายกลุ่มอุตสาหกรรมภายในประเทศไม่สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายในประเทศได้ การกระจายการลงทุนไปในหลายประเทศเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการที่จะลดความเสี่ยงภายในประเทศได้ เนื่องจากในขณะที่เรากำลังประสบปัญหาภายใน ซึ่งประเทศอื่นๆไม่ได้ประสบปัญหาดังกล่าวด้วย

การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ระหว่างประเทศเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า เนื่องจากขนาดของตลาดการเงินไทยที่เมื่อเทียบกับตลาดโลกแล้ว ยังนับว่ามีขนาดเล็ก และมูลค่าการซื้อขายที่ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับหลายๆตลาดหลักทั่วโลก

ในปัจจุบัน ตลาดการลงทุนเปิดเสรีมากขึ้น การลงทุนในต่างประเทศทำได้สะดวกขึ้นมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม เราสามารถเข้าถึงสินทรัพย์การลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยจำนวนเงินที่ต่ำกว่ายุคก่อน ไม่ว่าจะผ่านช่องทางกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ที่มีการไปลงทุนต่างประเทศ หรือกองทุนรวมที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกที หรือที่เรียกกันว่า “Feeder Fund”

หรือตัวอย่างในรูป ก็เป็นตัวอย่างพอร์ตการเกษียณระยะยาวที่ใช้เครื่องมือในการลงทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้ง LTF และ RMF ก็จะแนะนำให้มีการแบ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นต่างประเทศ เช่นกัน

[สรุป] การกระจายความเสี่ยงที่ดี ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นต้องเพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายการลงทุนด้วย การกระจายมั่วๆ โดยที่ไม่สนใจผลตอบแทนเลย ยังถือว่ากระจายความเสี่ยงได้ไม่ดีพอ

ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนช่วยลดหย่อนภาษีดีกว่า


หลายคนคงกำลังสงสัยว่าระหว่างการทำประกันชีวิตกับซื้อ LTF ควรจะเลือกซื้ออะไรดีเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้ 

ประกันชีวิต

ในการลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตนั้น เงินค่าเบี้ยของประกันชีวิตที่คุณจะนำมา ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะ มี 2 แบบ แบบแรกคือค่าเบี้ยประกันชีวิต และแบบที่สองคือค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สำหรับค่าเบี้ยประกันอื่น ๆ เช่น ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุนั้น ไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งประกันชีวิตที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีทั้ง 2 แบบมีเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
ค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าประกันชีวิตต้องมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และเงินคืนต้องไม่เกินกว่าร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันที่จ่ายรายปี 
ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถหักลดหย่อนได้ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเท่านั้น และมีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป  โดยผลประโยชน์ของเงินบำนาญจะจ่ายคืนเมื่อผู้มีเงินได้อายุ 55 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม เงินค่าเบี้ยประกันบำนาญเมื่อนำไปรวมกับเงินสำรองเลี้ยงชีพ เงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินกองทุนสงเคราะห์โรงเรียนเอกชน เงินลงทุนใน RMF และเงินออมในกองทุนการออมแห่งชาติแล้ว จะสามารถนำมาลดหย่อนไม่เกิน 500,000 บาทค่ะ

LTF หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว

สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามจริง แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับที่จะต้องเสียภาษีในปีนั้น และต้องไม่เกิน 500,000 บาท และผู้มีเงินได้ต้องถือครองการลงทุน LTF ไว้นาน 7 ปีจึงจะขายได้ หากขายก่อนก็ไม่สามารถนำเงินมาหักลดหย่อนภาษีได้ค่ะ

หากจะลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ประกันชีวิตกับ LTF แบบไหนดีกว่า?

การซื้อประกันชีวิตมีวัตถุประสงค์หลักคือเรื่องคุ้มครองความเสี่ยงและอาจมีแถมเรื่องของการสะสมทรัพย์เข้ามาด้วย ในขณะที่การซื้อ LTF นั้นมีวัตถุประสงค์หลักในเรื่องของการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว ก่อนอื่นคุณคงต้องมาดูว่าก่อนว่ารวัตถุประสงค์ในการลงทุนของคุณเป็นแบบไหน
ความเสี่ยงจากความผันผวน LTF เหมาะกับคนที่สามารถรับความผันผวนจากผลตอบแทนได้ เพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้นหากคุณเลือกซื้อ LTF จะต้องยอมรับว่าเงินต้นคุณมีสิทธิ์หายไปได้ ส่วนประกันชีวิตเหมาะกับคนที่ต้องการซื้อความคุ้มครองชีวิตหรือถ้าเป็นประกันแบบสะสมทรัพย์ ก็เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ไม่ชอบความผันผวน ไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่มากนัก และไม่ต้องการให้เงินต้นหายด้วย สามารถรอเวลาได้นานถึง 10 ปีขึ้นไป และไม่รีบใช้เงินครับ
สภาพคล่อง ถ้าหากคุณเลือกลดหย่อนด้วยการซื้อประกันชีวิต คุณต้องรอนานถึง 10 ปีขึ้นไป ถึงจะได้เงินทุนคืน แต่กรมธรรม์บางตัวก็มีเงินคืนระหว่างทาง เป็นกระแสเงินสดที่คุณนำมาใช้ได้ ส่วน LTF ระยะเวลาสั้นกว่า 7 ปีปฏิทินก็สามารถขายหน่วยลงทุนได้ ถ้าหากคุณเลือกซื้อ LTF ที่มีการจ่ายเงินปันผลด้วย ก็จะได้เงินปันผลในระหว่างทางมาใช้
ผลตอบแทน หากคุณซื้อประกันชีวิตคุณอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่มากนัก แต่สิ่งที่ได้ก็คือความคุ้มครองและการลดหย่อนภาษีที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุ้ม ส่วนถ้าคุณเลือก LTF นั้น คุณจะมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงมากกว่าประกันชีวิต แต่ในทางกลับกัน การซื้อ LTF ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกัน ส่วนประกันชีวิตนั้นถ้าไม่เวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบสัญญา อย่างไรก็ไม่ขาดทุนแน่นอน
พอร์ตการลงทุนของคุณ ก่อนที่คุณจะเลือกลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิตหรือ LTF คุณควรต้องหันมาดูพอร์ตการลงทุนของคุณด้วยว่า ในตอนนี้คุณมีประกันชีวิตอยู่เท่าไหร่แล้ว และมีการลงทุนใน LTF เท่าไหร่แล้ว จึงค่อยตัดสินใจว่าคุณจะซื้ออะไรดีในปีนี้ ถ้าคนที่ไม่เคยทำประกันชีวิตมาก่อนเลย ก็น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่คุณจะได้ตัดสินใจทำประกันชีวิตไปพร้อมกับการได้ลดหย่อนภาษีด้วย เช่นเดียวกับคนที่ไม่เคยลงทุนใน LTF หรือในตลาดหุ้นเลย ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีที่ได้เริ่มต้นลงทุนด้วย LTF เพราะ LTF นั้นมีผู้จัดการกองทุนที่ช่วยบริหารพอร์ตลงทุนให้คุณด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับข้อมูลเกี่ยวกับ ประกันชีวิตและการลงทุนใน LTF คุณผู้อ่านสามารถตัดสินใจเลือกกันได้หรือยังว่าจะลดหย่อนภาษีแบบไหนดี อย่างไรก็ตาม คุณก็สามารถแบ่งเงินซื้อทั้ง 2อย่างเฉลี่ยกันไปได้ เพราะมันก็เป็นการกระจายความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง แถมยังลดหย่อนภาษีได้เหมือนเดิมด้วยครับ

4 ขั้นตอนวางแผนการเงินและเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม

          ด่านแรกของการวางแผนการเงิน  คือ           การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก ับการวางแผนบริหารรายร...